5 กุมภาพันธ์ 2553

สามเทพสุภา



สามเทพสุภา (อังกฤษ: Three Judges of Hades World) คือ 3 ผู้พิพากษาความดีชั่วของผู้ที่เสียชีวิตลงตามเทพปกรณัมของกรีก ประกอบไปด้วย ราดาแมนทีส (Radamanthys) ไมนอส (Minos, ภาษากรีก Μίνως) และไออาคอส (Aiacos, Aeacus ภาษากรีกแปลว่า ค้ำจุนโลก)

ราดาแมนทีสกับไมนอส เป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่เป็นบุตรของซุสและยูโรปา ทั้งคู่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เป็นกษัตริย์ เมื่อตายลงจึงได้เป็นผู้พิพากษาในยมโลก ส่วน ไออาคอส เป็นบุตรของซุสกับอีคิดน่า แต่เดิมก็เป็นกษัตริย์เช่นกัน เป็นกษัตริย์ที่ทรงความยุติธรรม เมื่อตายลงจึงได้เป็นผู้พิพากษาเช่นเดียวกับราดาแมนทีสและไมนอส โดยจะทำหน้าที่แตกต่างออกไป ราดาแมนทีส จะพิพากษาวิญญาณผู้ที่ตายจากภาคตะวันออก ไออาคอสจะพิพากษาวิญญาณชาวกรีกและเฝ้าประตูนรก ส่วนไมนอส จะเป็นผู้พิจารณาความดีชั่วเป็นเบื้องต้น

ที่มา http://th.wikipedia.org

เมดูซ่า



ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผุ้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก

เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิสซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ ซุส (Zeus) ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และซุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา อาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของเมทิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซุส เมื่อเอเทน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเทน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเทน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเทน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก

สุดท้ายเมดูซ่าก็ถูกเพอร์ซีอุสฆ่าตายจากการถูกเพอร์เซอุสใช้ดาบและโล่ที่ได้ประทานมาจากเอเทน่าฟันคอขาดโดยมองเมดูซ่าจากโล่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเอเทน่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการตายของเมดูซ่า ที่เอเทน่าให้เพอร์เซอุสไปฆ่าเมดูซ่าแทนนั้นเพราะอาเทน่าเป็นเทพแล้วจึงใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ไม่มาก จึงใช้มือของเพอร์เซอุสในการทำการเรื่องนี้

ที่มา http://th.wikipedia.org

อคิลลีส

อคิลลีส (Achilles; บ้างว่า Akhilleus หรือ Achilleus; ภาษากรีกโบราณว่า Ἀχιλλεύς) เป็นวีรบุรุษในตำนานกรีกโบราณว่าด้วยเรื่องสงครามเมืองทรอย เป็นตัวละครหลักและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ เป็นแก่นของแนวเรื่องหลักในมหากาพย์นั้น คือ "โทสะของอคิลลีส"



อคิลลีสเป็นบุตรของท้าวพีลูส กษัตริย์ชาวเมอร์มิดอน กับนางอัปสรธีทิส เกิดที่เมืองฟาร์สะลา แคว้นเทสสะลี แต่เดิมนางอัปสรธีทิสเป็นที่หมายปองของเทพซูสและโพไซดอน แต่ภายหลังโปรมีธูสแจ้งคำพยากรณ์ต่อเทพทั้งสองว่า บุตรของธีทิสจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าบิดา เทพทั้งสองจึงยกนางให้แก่พีลูส เมื่ออคิลลีสเกิด ธีทิสได้จุ่มร่างของบุตรลงในแม่น้ำสติกส์เพื่อให้เป็นคงกระพัน ร่างกายของอคิลลีสจึงแข็งแกร่ง ไม่มีอาวุธใดทำอันตรายได้ อย่างไรก็ดีขณะนางจุ่มร่างบุตร ธีทิสใช้มือกุมข้อเท้าบุตรไว้ ดังนั้นทั่วร่างอคิลลีสจึงมีเพียงข้อเท้าที่ไม่ได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นจุดอ่อน ซึ่งในภาษาอังกฤษมีสำนวนว่า "Achilles heel" หมายถึง จุดอ่อน

อคิลลีสได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งนักรบ เป็นผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์มาก เมื่ออักกะเมมนอนรวบรวมทัพเพื่อยกไปตีเมืองทรอย จึงได้เชิญตัวอคิลลีสไปด้วย คำพยากรณ์มีว่า กรีกไม่มีวันเอาชนะทรอยได้หากปราศจากอคิลลีส กระนั้นก็มีคำพยากรณ์สำหรับอคิลลีสว่า เขาจะสิ้นชีวิตหากสังหารแม่ทัพทรอย คือ เฮกเตอร์

อคิลลีสไปถึงเมืองทรอยด้วยอายุเพียง 10 ขวบ และตั้งกองทัพอยู่ชายฝั่งเมืองทรอยนานถึง 15 ปี ระยะแรกอคิลลีสยังไม่มีความมุ่งมาดที่จะเอาชนะ จนกระทั่งเปรโตคัส เพื่อนรักอย่างยิ่งของอคิลลิส ถูกเฮกเตอร์สังหาร อคิลลิสจึงมีโทสะอย่างมากในการรบ จึงได้ขอดวลเดี่ยวกับเฮกเตอร์เพื่อล้างแค้นและสามารถสังหารเฮกเตอร์ได้ และลากศพของเฮกเตอร์ไปรอบ ๆ เมืองทรอยด้วยรถม้าเป็นการประจาน อคิลลีสเป็นผู้ที่บุกตะลุยเข้าไปในเมืองหลังจากเข้าเมืองได้ด้วยอุบายม้าไม้ของโอดิซูส และอคิลลีสก็ถูกสังหารจริง ๆ ตามคำทำนายด้วยลูกธนูที่ข้อเท้าจากการยิงของปารีส

เมื่ออคิลลีสเสียชีวิตไปแล้ว ได้ทิ้งชื่อไว้เป็นตำนานให้เลื่องลือ กล่าวกันว่า โล่ห์ของอคิลลีส (Shield of Achilles) ซึ่งเป็นโลห์ที่อคิลลีสใช้สู้กับเฮคเตอร์เป็นสิ่งที่ใครต่อใครต้องการแสวงหา และอเล็กซานเดอร์มหาราชก็นับถืออคิลลีสเป็นอย่างมาก โดยถือว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากอคิลลีส และพระองค์ยังออกตามหาหลุมศพของอคิลลีสรวมทั้งปรารถนาจะครอบครองโล่ห์ของอคิลลีสด้วย ซึ่งเชื่อว่าได้ถูกฝังอยู่ในหลุมศพของอคิลลีส

ที่มา http://th.wikipedia.org

เฮเลนแห่งทรอย (เฮเลนแห่งสปาร์ตา)



เฮเลน (Helen, ภาษากรีกว่า Ἑλένη – Helénē) คือหญิงสาวผู้เป็นชนวนศึกในสงครามเมืองทรอย ปกรณัมเก่าแก่ของกรีก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของงานมหากาพย์อีเลียดและโอดิสซีย์ ส่วนใหญ่มักเรียกชื่อนางว่า เฮเลนแห่งสปาร์ตา หรือ เฮเลนแห่งทรอย นางเป็นบุตรีของเทพซูสกับนางลีดา มีพี่ชายคือแคสเตอร์ พอลลักซ์ และคลีเทมเนสตรา

เมื่อเฮเลนเติบโตถึงวัยวิวาห์ บิดามารดาได้จัดพิธีเลือกคู่ให้แก่นาง โดยมีกษัตริย์ เจ้าชาย และนักรบจากเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นกรีกมาร่วมงาน ได้แก่ โอดิซูส เมเนสทีอัส ไดโอมีดีส อจักซ์ ปโตรกลัส เมนนิเลอัส และอักกะเมมนอน นางเลือกเมนนิลิอัสเป็นคู่วิวาห์ ส่วนกษัตริย์อื่นต่างให้สัญญาว่าจะคอยช่วยปกป้องนาง

เฮเลนมีชื่อเสียงว่าเป็นหญิงงามไม่อาจหามนุษย์ผู้ใดเทียบได้ เมื่อครั้งปารีสแห่งทรอยเป็นผู้ตัดสินความงามระหว่างเหล่าเทพี อโฟรไดท์สัญญาว่าจะให้นางเฮเลนแก่เขาหากเขาเลือกให้พระนางเป็นเทพีผู้งามที่สุด เหตุนี้ปารีสจึงมาชิงตัวเฮเลนไปเสียโดยความช่วยเหลือของเทพเจ้า แล้วพานางหนีกลับไปเมืองทรอย ทำให้เหล่ากษัตริย์ที่ได้ให้สัตย์ไว้ต่อเมนนิลิอัส ต้องยกทัพมาช่วยเหลือเพื่อชิงนางเฮเลนกลับคืน

ที่มา http://th.wikipedia.org

เฮกเตอร์ (ทรอย)



เฮกเตอร์ (อังกฤษ: Hectōr หรือคำกรีกโบราณว่า Ἕκτωρ) เจ้าชายแห่งเมืองทรอย เป็นวีรบุรุษในตำนานกรีกโบราณว่าด้วยเรื่องสงครามเมืองทรอย เขาเป็นโอรสของท้าวเพรียมและนางเฮคคิวบา ผู้ครองเมืองทรอย ณ เชิงขุนเขาไอดา เป็นพี่ชายของปารีส ผู้ชิงตัวนางเฮเลนมาจากเมนนิลิอัส เฮกเตอร์ได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในเก้าผู้ยิ่งใหญ่ (The Nine Worthies) ซึ่งประกอบด้วยความกล้าหาญและเกียรติยศ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยกับการกระทำของน้องชายหรือไม่ แต่ก็นำทัพออกปกป้องบ้านเมืองและครอบครัวอย่างเต็มกำลัง

ในสงครามเมืองทรอย เฮกเตอร์ได้ประลองกับอจักซ์ ผู้มีฉายาว่าจอมพลัง เป็นเวลาถึงวันกับคืนโดยไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ ต่อมาทั้งสองได้ชื่นชมกันและกัน เฮกเตอร์มอบดาบแก่อจักซ์ ส่วนอจักซ์มอบเข็มขัดให้เป็นที่ระลึก

ระหว่างสงคราม นักรบฝ่ายกรีกชื่อ อคิลลีส ผิดใจกับแม่ทัพอักกะเมมนอน จึงถอนตัวออกจากการรบ ทำให้ทัพกรีกเกือบพ่ายแพ้ ปโตรกลัสนำชุดเกราะของอคิลลีสมาสวมและนำทัพเมอร์มิดอนออกรบ เฮกเตอร์เข้าใจผิดว่าปโตรกลัสคืออคิลลีส จึงเข้าสู้ด้วยเต็มกำลัง และสังหารปโตรกลัสได้ ทำให้อคิลลีสโกรธจัดและกลับเข้าร่วมรบอีกครั้ง อคิลลีสสามารถสังหารเฮกเตอร์ได้ และใช้เข็มขัดของอจักซ์มัดร่างของเฮกเตอร์ไว้กับรถม้าลากกลับค่าย ไม่ยอมคืนศพให้ฝ่ายทรอยตามธรรมเนียมการรบ จนภายหลัง ท้าวเพรียมผู้ชราลอบเข้าค่ายกรีกเพื่อวิงวอนขอร่างของเฮกเตอร์คืน อคิลลีสจึงใจอ่อนยอมมอบให้

ที่มา http://th.wikipedia.org

สงครามเมืองทรอย



สงครามเมืองทรอย (อังกฤษ: Trojan War) เป็นสงครามที่สำคัญตำนานของกรีก โดยเกิดขึ้นที่เมืองทรอย ซึ่งตั้งอยู่ในเอเชียน้อย หรือบริเวณประเทศตุรกีในปัจจุบัน และเป็นสงครามระหว่างกองทัพของชาวกรีกและเมืองทรอย หลังจากที่ปารีสแห่งทรอยได้ลักพาตัวเฮเลนซึ่งเป็นภรรยาของเมนนิลิอัส กษัตริย์ของสปาร์ตาในขณะนั้น สงครามเมืองทรอยถูกเล่าผ่านงานเขียนที่สำคัญสองเรื่องของกรีก คืออีเลียดและโอดิสซีย์ โดยอีเลียดเล่าเรื่องราวตั้งแต่ปีที่สิบ จนถึงสิ้นสุดสงคราม ส่วนโอดิสซีย์เล่าเรื่องราวหลังจากสงครามจบสิ้น

หลังจากสู้รบกันเป็นเวลาสิบปี กองทัพกรีกก็ได้คิดแผนการที่จะตีกรุงทรอย โดยการสร้างม้าไม้จำลองขนาดยักษ์ ที่เรียกว่าม้าโทรจัน โดยทหารกรีกได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในม้าโทรจัน แล้วก็ทำการเข็นไปไว้หน้ากรุงทรอย เหมือนเป็นของขวัญและสัญลักษณ์ว่าชาวกรีกยอมแพ้สงคราม และได้ถอยทัพออกห่างจากเมืองทรอย ชาวทรอยเมื่อเห็นม้าโทรจัน ก็ต่างยินดีว่ากองทัพกรีกได้ถอยทัพไปแล้ว ก็ทำการเข็นม้าโทรจันเข้ามาในเมือง แล้วทำการเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่ เมื่อชาวทรอยนอนหลับกันหมด ทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ ก็ออกมาจากม้าโทรจัน แล้วทำการเปิดประตูเมืองให้กองทัพกรีกเข้ามาในเมือง แล้วก็สามารถยึดเมืองทรอยได้ ก่อนที่จะทำการเผาเมืองทรอยทิ้ง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เหล่าเทพไม่พอใจ และทำการกลั่นแกล้งไม่ให้ชาวกรีกได้กลับบ้านเมืองอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าอยู่ในโอดิสซีย์

ที่มา http://th.wikipedia.org

คิวปิดและไซคี



ไซคี (อังกฤษ: Psyche) เป็นชื่อชายาของกามเทพคิวปิด เดิมนางกำเนิดเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์กรีกโบราณ ถึงแม้เป็นเพียงสาวชาวมนุษย์ ทว่ามีสิริโฉมที่งดงามจนเอาชนะวีนัส เทพีแห่งความงามได้ เจ้าหญิงไซคีมีพระพี่นางสองพระองค์ ซึ่งอิจฉาริษยาน้องนางของตนอย่างเข้ากระดูกดำ เพราะพวกนางมีความงามทั้งกายใจที่สู้ไซคีไม่ได้ อีกทั้งพระบิดามารดาและเหล่าประชาชนก็รักเจ้าหญิงไซคีมากกว่าพวกตนอีกด้วย

โชคชะตาขององค์หญิงผู้เลอโฉมองค์นี้ได้เปลี่ยนไป เมื่อความสวยหยาดฟ้าดินของนางเกิดไปสร้างความเจ็บแค้นให้เทพีวีนัสอย่างมาก เพราะประชาชนชาวกรีกต่างเอาใจออกห่างไม่บวงสรวงบูชาพระนางอย่างดีเหมือนเก่าก่อน เหตุก็เพราะไปชมโฉมเจ้าหญิงไซคีกันหมด เทพีวีนัสพิโรธมากเมื่อมีหญิงที่งามกว่าตน พระนางจึงคิดวางแผนทำลายล้างเจ้าหญิงไซคีทันที

แผนการที่ว่าก็คือ ให้กามเทพคิวปิด โอรสของพระนางเองไปยิงศรความรักให้นางไซคีหลงรักชายชั่วเลวทรามที่สุดในแผ่นดินสักคนหนึ่ง หรือไม่ก็อสุรกายที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุด เพื่อให้เจ้าหญิงไซคีต้องทุกข์ทรมาน กามเทพคิวปิดเกิดความสงสารทว่าไม่เคยขัดบัญชามารดา จึงจำใจบินไปยังตำหนักที่ประทับขององค์หญิงไซคีโดยมีลูกศรความรักอยู่ในมือ

แต่เพียงแว่บแรกที่กามเทพหนุ่มได้มองเจ้าหญิงชาวมนุษย์ซึ่งกำลังหลับอยู่อย่างสบาย มือที่รั้งคันศรเตรียมยิงก็ชะงักลง คิวปิดตกอยู่ในภวังค์ชมโฉมไซคีอย่างหลงใหล เนิ่นนานจนลืมหน้าที่ของตน กระทั่งนางไซคีพลิกตัว คิวปิดสะดุ้งตกใจจนลูกศรความรักแทงเข้าถูกตนเองอย่างจัง!

กลับกลายเป็นว่า คิวปิดหลงรักไซคีจนหมดใจ ถึงพยายามตัดใจแต่ก็ไม่อาจต่อต้านฤทธิ์ลูกศรแห่งความรักได้ กามเทพหนุ่มเก็บความรู้สึกที่มีไว้เพราะถ้าหากมารดาของตนรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับไซคี เจ้าหญิงองค์นี้คงไม่ปลอดภัยแน่นอน คิวปิดไปขอร้องเหล่าทวยเทพให้ช่วยเหลือตนด้วย ซึ่งเหล่าเทพโอลิมปัสก็เห็นใจในความรักของคิวปิด จึงได้ช่วยเหลืออย่างลับๆโดยไม่ให้เทพีวีนัสล่วงรู้

แผนการณ์อันดับแรกของกามเทพได้เริ่มขึ้น โดยการป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาสู่ขอไซคี เหล่าผู้คนคิดว่านางงดงามจนไม่คู่ควรกับมนุษย์ จึงไม่มีชายใดกล้าไปสู่ขอเจ้าหญิงไซคี กระทั่งวันเวลายิ่งผ่านไป พระพี่นางที่งดงามน้อยกว่าก็ต่างออกเหย้าออกเรือน ทิ้งไว้เพียงน้องนางองค์เล็กสุดที่เปล่าเปลี่ยวไร้คู่ครอง พระบิดาพระมารดาของไซคีวิตกกังวลมาก จึงไปขอคำทำนายจากวิหารเดลฟี ซึ่งเป็นวิหารขององค์เทพอพอลโล เทพอพอลโลนั้นก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเทพที่ช่วยเหลือคิวปิดอยู่ จึงบอกคำทำนายผ่านร่างทรงไปว่า 'คู่ครองของเจ้าหญิงไซคีมิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นอสุรกายน่าเกลียดน่ากลัวที่มีฤทธิ์เดชมากมาย ไม่มีเทพองค์ใดสามารถต้านทานได้ ขณะนี้คู่ครองของไซคีรออยู่ที่ยอดเขา และห้ามนางมองรูปโฉมของสามีเป็นอันขาดในตลอดเวลาที่อยู่กินกัน'

คำทำนายนั้นราวกับเป็นคำสาปที่ทำให้ประชาชนชาวกรีกต้องร่ำไห้โศกเศร้าในโชคชะตาอันโหดร้ายของเจ้าหญิงอันเป็นที่รัก โดยเฉพาะไซคีเอง แต่นางปลงในโชคร้ายของตนและยอมที่จะแต่งงานกับอสุรกายตามคำทำนายที่ว่าไว้

ขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่ประดิดประดอยอย่างสวยงามดังระงงมไปด้วยเสียงร้องไห้ของเหล่าปวงประชา เจ้าหญิงไซคีในชุดเจ้าสาวใบหน้าซีดเผือดไร้ซึ่งความสุข พระบิดามารดาต้องโทมนัสอย่างมากมายที่พระธิดาที่รักที่สุดต้องประสบพบเคราะห์เช่นนี้ เมื่อขบวนอันงดงามไปถึงยอดเขา เหล่าผู้คนก็ต้องจำใจทิ้งไซคีไว้ผู้เดียวเพื่อให้เจ้าบ่าวเป็นฝ่ายมารับตัว

เจ้าหญิงไซคีรอคอยการมาของว่าที่สามีด้วยความหวั่นกลัว และแล้วก็มีผู้มารับนาง ทว่าผู้นั้นคือ เทพแห่งลมตะวันออก เซฟิโรส (เชื่อกันว่าลมตะวันออกเป็นลมที่พัดพาคู่รักให้ได้พบเจอกัน) เทพแห่งลมได้รับคำสั่งจากคิวปิด จึงได้บรรจงพัดพาเอาร่างของเจ้าหญิงไซคีบินข้ามผ่านหุบเหวลึกจนไปถึงตำหนักงดงามเพรียบพร้อมราววิมานสวรรค์ มีทั้งสวนสวย น้ำพุสะอาด อาหารโอชะ และที่พักอาศัยที่งดงามเสียยิ่งกว่าวังที่จากมา แต่ตลอกเวลากลางวันนางก็ยังไม่พบเจ้าบ่าวของนาง

คิวปิดได้บินมายังเรือนหอของตนเมื่อแน่ใจแล้วว่าทั่วทั้งตำหนักนั้นมืดสนิทในยามราตรี เทพหนุ่มได้มาหาเจ้าสาวและบอกว่าตนคือเจ้าบ่าวของนาง ทั้งคู่จึงได้ทำพิธีแต่งงานอย่างสมบูรณ์ และทันทีที่แสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า คิวปิดก็จะจากไซคีไปทันที เพราะกลัวว่าหากนางรู้ว่าตนเป็นกามเทพ ไม่ใช่อสุรกายอย่างที่กล่าวอ้าง เทพีวีนัสอาจจะกลับมาทำร้ายไซคีอีก และหลังจากได้อยู่กินในสภาพเช่นนั้น คิวปิดจึงโกหกมารดาได้ว่าไซคีต้องทรมานกับการมีสวามีอสุรกายดังที่บัญชา

ไซคีรู้สึกผูกพันกับสามีของตนและไม่คิดรังเกียจหากเขาจะเป็นอสูรจริง นางจะคอยเฝ้าเวลาอาทิตย์อัสดงซึ่งเป็นเวลาที่คิวปิดจะมาหา สามีภรรยาต่างรักใคร่กลมเกลียวอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งความสงสัยที่ว่ารูปร่างของสามีตนเป็นอย่างไรก็มารุมเร้าไซคีเพราะความรู้สึกได้บอกว่าสามีของตนไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่กล่าวอ้าง เจ้าหญิงได้ซักถามเพื่อขอดูรูปโฉมของเขา แต่แน่นอน คิวปิดปฏิเสธ และขอสัญญาจากไซคีว่าจะไม่พยายามดูรูปโฉมของเขาเป็นอันขาด

เพราะความเหงาที่จากบ้านมานาน และต้องอยู่คนเดียวตลอดเวลากลางวัน ไซคีจึงขอคิวปิดให้ตนได้พบพี่สาว คิวปิดจึงสั่งให้เทพลมเซฟิโรสไปพัดพาพระพี่นางของไซคีมายังตำหนักยอดเขา พระพี่นางทั้งสองเกิดความอิจฉาน้องนางของตนอย่างสุดหัวใจเมื่อเห็นตำหนักที่สวยงาม และน้องสาวก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่มีสามีเป็นอสุรกาย จึงได้ยุแยงให้นางหาเทียนมาจุดดูรูปโฉมของคิวปิด และมอบดาบให้นางเพราะหาว่าถ้าอสุรกายนั้นรู้ว่านางผิดสัญญาอาจจะทำร้ายนางได้ เพราะเลือดข้นกว่าน้ำ เจ้าหญิงไซคีจึงหลงเชื่อพระพี่นางของตนเอง

เมื่อยามรัตติกาลมาเยือน คิวปิดก็มาหาชายาสุดที่รักและได้หลับพักผ่อนข้างกายไซคี เมื่อรู้แน่แก่ใจว่าสวามีหลับสนิท ไซคีจึงลุกขึ้นมาจุดเทียนดูรูปโฉมของคิวปิด ปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปร่างงดงามยิ่งกว่าชายใดที่นางเคยเห็นมา ผมนุ่มละเอียดสีทอง และปีกขาวสะอาดหนานุ่ม ไซคีมองดูสวามีอยู่นานราวกับต้องมนตร์จนกระทั่งน้ำตาเทียนหยดหนึ่งหยดต้องร่างกายคิวปิดจนเขาสะดุ้งตื่น

คิวปิดโกรธและเสียใจมากที่ไซคีผิดสัญญาแล้วยังคิดฆ่าเขาอีก คิวปิดจึงสยายปีกบินหนีออกนอกหน้าต่าง พร้อมกับบอกไซคีว่า 'หากมีความรักแต่ปราศจากความเชื่อใจ ก็ไม่อาจรักษาความรักนั้นเอาไว้ได้'และประกาศว่าจะลงโทษด้วยการจากนางไป...ตลอดกาล

เจ้าหญิงไซคีร่ำไห้อย่างหนัก จนเมื่อรู้สึกตัวก็รู้ว่าตนเองได้กลับมายังบ้านเมืองของตน ไซคีเสียใจที่ตนกระทำเรื่องเลวร้ายลงไปจึงไม่คิดนิ่งนอนใจอยู่สบายหาสวามีใหม่ นางเดินทางรอนแรมติดตามหาคิวปิดผู้เป็นสวามีอย่างยากลำบาก บุกป่าฝ่าดงเข้าเมืองทั้งที่เป็นงานหนักมากสำหรับหญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูแบบเจ้าหญิง อีกทั้งไม่ยอมให้มีคนใช้ติดตามอำนวยความสะดวก นับว่าไซคีเป็นหญิงที่ซื่อสัตย์ต่อสวามีอย่างมาก

ขณะเดียวกับที่พระพี่นางทั้งสองรู้สึกสะใจมากกับการเห็นน้องนางของตนถูกทอดทิ้งเหมือนพวกนางในอดีต จึงได้เลิกรากับสวามีของพวกตนเดินทางไปที่ขุนเขาเพื่อไปหาคิวปิดเพราะคิดว่าคิวปิดอาจจะอยากได้ชายาใหม่ แต่ทว่ากามเทพหนุ่มก็มีความรักที่ซื่อตรงต่อเจ้าหญิงไซคีคนเดียวเช่นกัน พวกนางทั้งสองจึงตกเหวตายเพราะคิดว่าเทพลมเซฟิโรสมารับ

ไซคีพเนจรไปเรื่อยจนถึงวิหารเทพีดีมีเทอร์หรือ เซเรสแห่งพืชผล พบว่าของบูชาซึ่งเป็นธัญญาหารต่างๆถูกวางระเกะระกะด้วยชาวไร่ชาวนาที่อ่อนล้าจากการทำงาน นางจึงได้จัดแจงจัดระเบียบพืชผลบูชาจนเรียบร้อย เทพีดีมีเทอร์ชอบใจและสงสารไซคีมากจึงได้ปรากฏตัวและบอกว่านางควรไปขออภัยโทษจากเทพีวีนัสผู้เป็นมารดาของคิวปิด เพราะเมื่อใดที่คิวปิดหลบซ่อน เทพีวีนัสพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะหาเจอ

เทพีวีนัสผู้เคียดแค้นเจ้าหญิงไซคีเป็นทุนเดิมก็ยิ่งโกรธามากกว่าเดิมเพราะมารู้ทีหลังว่าหญิงที่พระนางเกลียดเข้ากระดูกกลับเป็นคนเดียวกับชายาของโอรส พระนางจึงคิดแผนการทำลายเจ้าหญิงคนงามอีกครั้ง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า หากเจ้าหญิงไซคีทำงานทั้งสามอย่างสำเร็จ พระนางจะไม่ขัดขวางความรักของไซคีและคิวปิด อีกทั้งจะคุยกับคิวปิดให้หายโกรธ และกลับมาอยู่กับไซคีอีกด้วย

เจ้าหญิงไซคียอมรับข้อเสนอทั้งที่ไม่รู้สักนิดเลยว่าความอันตรายหลายประการกำลังรออยู่เบื้องหน้า คิวปิดซึ่งหลบหนีไปอยู่คนเดียวได้รู้เรื่องเข้าจึงได้รีบมาเฝ้าคอยดูแลชายาของตนอย่างห่างๆไม่แสดงตัว เพราะสัญชาตญาณของกามเทพบอกว่ามารดาของตนไม่มีทางทำตามอย่างที่พระนางลั่นวาจาไว้เป็นแน่

ปราการด่านแรกของเจ้าหญิงไซคี คือการที่เทพีวีนัส บัญชาให้นางแยกเมล็ดธัญญาหารซึ่งมีทั้งข้าวสาร ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ข้าวบาร์เล่ย์ ถั่ว และงา ในยุ้งฉางออกแยกจากกันก่อนมืดเพื่อให้นกนางนวลของพระนางได้กิน ไซคีถึงกับนิ่งงันไม่รู้จะคิดอ่านอย่างไรเพราะนางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จะทำเรื่องเกินขีดจำกัดแบบนี้ได้อย่างไร แต่นางก็กัดฟันแยกเมล็ดพืชอย่างยากเย็นเพียงเพราะอยากจะพบกับคิวปิดอีกสักครั้ง

คิวปิดทนดูชายาอย่างทุกข์ทรมานใจ จนในที่สุดก็สั่งให้ฝูงมดเข้าไปช่วยเจ้าหญิงไซคีจนสามารถแยกธัญพืชออกจนครบก่อนมืด เมื่อเทพีวีนัสมาดูผลงานก็เคียดแค้นยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่าคนที่คอยช่วยเหลือไซคีอยู่เบื้องหลังก็คือโอรสองค์โปรดของพระนางเอง

เมื่อแผนร้ายแรกไม่สำเร็จ เทพีวีนัสจึงมีบัญชาให้ไซคีไปเก็บขนแกะทองคำจากฝูงแกะขนทองอีกฝั่งของแม่น้ำซึ่งไหลรุนแรงเชี่ยวกราก ไซคียืนอยู่ตรงฝั่งน้ำที่ไหลบ่าอย่างน่ากลัวแถมฝูงแกะก็มีท่าทางโหดร้ายยิ่งนัก โชคดีที่เทพประจำแม่น้ำสงสาร จึงได้บอกให้ต้นกกริมน้ำกระซิบบอกไซคีว่า 'ให้รอจนถึงเย็น แม่น้ำจะไหลเอื่อยช้าลงให้นางข้ามไปได้โดยง่าย พอดีกับฝูงแกะที่อิ่มแล้วก็จะเชื่อง ต้นกกนั้นจะไปเสียดสีเอาขนแกะมาให้ ให้นางเก็บขนทองที่ติดอยู่ตรงต้นกกไปแล้วกัน'เมื่อไซคีทำตามลำดับขั้นตอนก็สามารถทำภารกิจที่สองได้ลุล่วง ส่งผลให้เทพีวีนัสกริ้วมาก

เมื่อแผนประทุษร้ายที่ผ่านมาไม่สำเร็จ เทพีวีนัสจึงฉุกคิดแผนร้ายสุดท้ายมาได้ คือมอบผอบทองคำแก่ไซคี ให้นางไปขอเครื่องประทินโฉมจากเทพีเพอร์ซิโฟเนเทพียมโลก ซึ่งหมายถึงให้ไซคีไปตาย เจ้าหญิงชาวมนุษย์ท้อแท้ใจอย่างมากที่เทพีวีนัสชิงชังนางมากขนาดนี้ แถมสวามีที่นางทนลำบากเพื่อตามหาก็ไม่เหลียวแลนางแม้แต่น้อย นางจึงปลงใจคิดกระโดเหวเพื่อตายไปยมโลกด้วยทางลัด

คิวปิดตกใจมากเมื่อเห็นชายาจะทำอย่างนั้น จึงกระซิบเอ่ยปลอบประโลมไซคีด้วยความรักอ่อนโยนที่มาจากใจ ทำให้จิตใจที่สิ้นหวังของไซคีมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงปริศนาอันเป็นมิตรแนะนำวิธีไปยมโลกเอาไว้หลายประการ เช่น เดินลัดเลาะไปตามภูเขาที่ลึกที่สุดจนกระทั่งถึงจุดที่เป็นประตูนรก ซึ่งจะมีเซอร์บิรัสสุนัขปีศาจเฝ้าอยู่ ให้เอาขนมปังและเหล้าองุ่นหลอกล่อมัน จากนั้นก็ให้ติดค่าจ้างชารอนให้พาข้ามฟากน้ำสติกซ์ไปยังตำหนักเทพีเพอร์ซิโฟเน และเมื่อได้เครื่องประทินโฉมนั้นมา ห้ามเปิดดูเด็ดขาด

ไซคีทำตามทุกประการ ยกเว้นประการสุดท้าย นางเผลอเปิดผอบดูด้วยความสงสัยซึ่งเป็นปกติของมนุษย์ผู้หญิง (เหมือนกับนาง แพนโดรา) ทำให้ควันประหลาดพุ่งใส่ไซคี ภาพร่างของชายาล้มลงกับพื้นทำให้หัวใจกามเทพหนุ่มแทบหยุดเต้น คิวปิดซึ่งรอคอยนางที่หน้าทางออกจึงรีบโผบินมาเก็บ'ควันมนตราแห่งการหลับใหล'เก็บลงในผอบและปลุกให้ไซคีฟื้นขึ้น

ทั้งสองสามีภรรยาดีใจอย่างสุดซึ้งที่ได้พบกันอีกครั้ง คิวปิดสัญญาว่าจะไม่จากนางไปอีก และตำหนินางเรื่องความสงสัยที่ให้โทษแก่นางมาตลอด ซึ่งไซคีก็ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง คิวปิดได้บอกให้ไซคีไปส่งผอบแก่เทพีวีนัส เพราะเขาก็มีภารกิจสำคัญที่ต้องไปสะสาง

กามเทพหนุ่มบินขึ้นเขาโอลิมปัสเพื่อไปวิงวอนทวยเทพให้เห็นแก่ความรักของเขา ซึ่งเหล่าเทพก็เห็นใจในความทุกข์โศก ความยากลำบาก ความพยายาม ที่คู่รักคู่นี้กระทำเพื่อความรัก เทพซุสจึงขอเทพีวีนัสให้เลิกเกลียดชังไซคีและยอมรับนางเป็นสุณิสาในที่สุด

ทว่าช่วงเวลาชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ยืนยาวนัก ไซคีรู้ดีว่านางจำเป็นต้องตายในสักวัน ไม่สามารถจะครองคู่กับคิวปิดซึ่งเป็นเทพตลอดไปได้ คิวปิดไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าต้องสูญเสียไซคีไปอีก เหล่าเทพจึงได้มอบน้ำอมฤตแก่ไซคี ทำให้ไซคีกลายสภาพเป็นเทพีที่ไม่แก่และไม่ตาย และสามารถอยู่ร่วมกับคิวปิดไปตลอดกาล

ทำให้เห็นว่า ความรักที่แท้จริงย่อมต้องมีการฟันฝ่าอุปสรรค ต้องมีความเข้าใจ ความเชื่อใจในความรักแท้ ความเสียสละ ความอดทน และความมั่นคงต่อคนที่เรารัก ดังเช่นตัวอย่างของคิวปิดและไซคีที่ต้องสูญเสียทั้งน้ำตา หยาดเหงื่อ และแรงใจ แต่ในที่สุดก็สามารถประคับประคองช่วยเหลือดูแลกันจนได้รางวัลคือความรักที่มั่นคงจนไม่อาจทำลายได้กลับคืนมา

และนอกจากจะต้องมีสิ่งต่างๆดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ความรัก (eros) ก็ยังต้องอยู่คู่กับจิตวิญญาณ (Psyche)ด้วย หากขาดความรักแล้ว จิตวิญญาณก็จะไม่สามารถมีอยู่ได้ แต่หากขาดจิตวิญญาณก็จะไม่มีความรัก

ท้ายสุด คิวปิดและไซคี มีธิดาด้วยกันหนึ่งองค์คือ เดลิซิโอ (Delicio - รากศัพท์ของคำว่า Delicious) และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขชั่วกาลนาน

ที่มา http://th.wikipedia.org

จีอา

จีอา หรือ เกอา (อังกฤษ: Gaia, Gæa หรือ Gea, /jē'ə หรือ gā'ə/; จากภาษากรีกโบราณ: Γαîα; ภาษากรีกปัจจุบัน: Γῆ; หมายความว่า พื้นดิน หรือพื้นโลก) เป็นเทพีองค์แรกของโลกตามตำนานของชาวกรีก ร่างกายของนางคือพื้นพิภพ นามในภาษาละตินของนางคือ เทอร์ร่า (Terra)



กำเนิดของจีอา
แต่เดิมนั้นในโลกมีเพียงความวุ่นวายและมืดมน นั่นก็คือเคออส ต่อมาจีอาได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นพื้นพิภพ พร้อมๆกับนิกซ์ผู้เป็นกลางคืน อีรีบุสผู้เป็นความมืด อีรอสหรือกามเทพ และทาร์ทะรัส คุกใต้พิภพ ต่อมาจีอาจึงสร้างอูรานอส หรือท้องฟ้าขึ้นปกคลุมเหนือผืนดิน ปอนตัสหรือทะเล และโอยูเรีย หรือภูเขาขึ้น

จีอาเป็นเทพีองค์แรกของโลก และเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวง ดังนั้นจีอาจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในด้านการสร้าง นางมีสวามีหลายองค์และให้กำเนิดลูกหลานเป็นเทพ อสุรกาย และภูตพรายต่างๆ เป็นจำนวนมาก

ลูกหลานของจีอา
เกิดจากเทพยูเรนัส
จีอาสมรสกับอูรานอสและมีลูกหลานดังนี้

ยักษ์ตาเดียวไซคลอป 3 ตน
เซนติมานิ 3 ตน
นีโมซีนี
เฮ็กคาทอนคีรีส
อีรินีเอส หรือ เฟอร์รี่
เทพไททัน 12 องค์

เกิดจากเทพปอนตัส
ยูริเบีย
ธาอูมัส
ซีโต
ฟอซีส
นีรีอัส

เกิดจากทาร์ทะรัส
อีคิดน่า
ไทฟอน

เกิดจากเทพเออิเธอ
อีอาเกีย

เกิดจากเทพซุส
มาเนส บิดาแห่งอาทีส

เกิดจากเทพโพไซดอน
อันทาเออัส
คาริบดิส

เกิดจากเทพเฮฟเฟตุส
เอริคโธนิอัส แห่งเอเธนส์

ที่มา http://th.wikipedia.org

เพกาซัส




เพกาซัส (อังกฤษ: Pegasus, ภาษากรีก: Πήγασος, เปกาซอส หมายถึง แข็งแรง) เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก เป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ

เพกาซัสเกิดมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า ถูกวีรบุรุษเพอร์ซีอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้น เพกาซัสก็กระโจนออกมาจากลำคอของนาง ไม่มีใครสามารถปราบเพกาซัสได้เลยซักคน ตอนที่มันเกิดมาใหม่ ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงามที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดีกรีกโบราณ ว่ากันว่าใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมทีเดียว

เพกาซัสโดนปราบโดยเด็กหนุ่มรูปงามชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน" (Bellerophon) เบลเลอโรฟอนเป็นโอรสของเจ้าเมืองโครินทร์ที่มีนามว่า พระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ซึ่งต่อมาเบลเลอโรฟอนได้ขี่เพกาซัสปราบไคเมร่า

ที่มา http://th.wikipedia.org

อีเลียด




อีเลียด (กรีก: Ἰλιάς Ilias; อังกฤษ: Iliad) เป็นหนึ่งในสองบทกวีมหากาพย์กรีกโบราณของโฮเมอร์ ซึ่งเล่าเรื่องราวของสงครามเมืองทรอยในช่วงปีที่สิบอันเป็นปีที่สิ้นสุดสงคราม เชื่อกันว่า อีเลียด ถูกแต่งขึ้นในช่วงศตวรรษที่แปดก่อนคริสตกาล[1] นักวิชาการหลายคนเชื่อว่า บทกวีเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในภาษากรีกโบราณ จึงถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของยุโรป[2] แม้จะมีชื่อผู้ประพันธ์ปรากฏเพียงคนเดียว แต่จากลักษณะของบทกวีที่บอกเล่าสืบต่อกันมาแบบปากเปล่ารุ่นต่อรุ่น จึงมีความเป็นไปได้ว่ามีผู้ประพันธ์มากกว่าหนึ่งคน

เรื่องราวในบทกวีบรรยายถึงเหตุการณ์ในปีที่สิบซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเหตุการณ์ที่ชาวกรีกบุกยึดนครอีเลียน หรือเมืองทรอย คำว่า "อีเลียด" หมายถึง "เกี่ยวกับอีเลียน" (ภาษาละตินเรียก อีเลียม (Ilium)) อันเป็นชื่อเรียกส่วนนครหลวง ซึ่งแตกต่างกับ ทรอย (ตุรกี: Truva; กรีก: Τροία, Troía; ละติน: Troia, Troiae) อันหมายถึงนครรัฐที่อยู่ล้อมรอบอีเลียม แต่คำทั้งสองคำนี้มักใช้รวมๆ กันหมายถึงสถานที่แห่งเดียวกัน

ที่มา http://th.wikipedia.org

เพอร์ซิอุส




เพอร์ซิอุส (อังกฤษ: Perseus; กรีก: Περσεύς) เป็นบุคคลในตำนานเทพปกรณัมกรีกซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแคว้นไมซีนีและราชวงศ์เปอร์เซีย เขาเป็นวีรบุรุษคนแรกในปกรณัมกรีกที่มีชื่อเสียงจากการปราบสัตว์ประหลาดโบราณมากมาย ในยุครุ่งเรืองเทพโอลิมปัสทั้ง 12 องค์ เพอร์ซิอุสเป็นผู้สังหารเมดูซา และเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าหญิงอันโดรเมดาจากปีศาจทะเล นามว่า ซีตัส

ที่มา http://th.wikipedia.org

เฮราคลีส




เฮราคลีส (อังกฤษ: Heracles หรือ Herakles) เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งในตำนานเทพเจ้ากรีก ชื่อมีความหมายว่า "ความรุ่งโรจน์ของเฮรา" เขาเป็นบุตรของเทพซูสกับนางแอลก์มินี เกิดที่เมืองธีบส์ เป็นหลานของแอมฟิไทรออน และเป็นเหลนของเพอร์ซูส เฮราคลีสนับเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในปกรณัมกรีก ชื่อในตำนานเทพโรมันว่า เฮอร์คิวลีส ซึ่งดัดแปลงเอาเรื่องราวของเขาในปกรณัมกรีกไปใช้

นับแต่เฮราคลีสเกิดมาก็ตกอยู่ในความริษยาพยาบาทของเทพีเฮรา ซึ่งหึงหวงเทพซูสผู้สามี แม้เฮราคลีสเป็นบุตรเทพซูส แต่กลับมีกำเนิดเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เมื่อโตขึ้น เฮราคลีสได้แต่งงานกับนางเมการะ มีบุตรสามคน เทพีเฮราบันดาลให้เขาวิกลจริตและสังหารบุตรภรรยาตายสิ้น เมื่อเขาคืนสติก็จะฆ่าตัวตายตาม แต่ธีซูสเพื่อนสนิทห้ามปรามไว้ แนะให้ไปขอคำพยากรณ์จากวิหารเดลฟี คำพยากรณ์บอกให้เฮราคลีสไปหาท้าวยูริสเทียสและรับทำภารกิจทุกประการตามแต่จะได้รับ เพื่อเป็นการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ ท้าวยูริสเทียสสรรหาภารกิจอันเหลือที่มนุษย์จะกระทำได้ เรียกกันว่า "The Twelves Labours of Heracles" หรือ ภารกิจ 12 ประการของเฮราคลีส ได้แก่

ปราบสิงโตแห่งนีเมีย
สังหารไฮดรา
จับกวางในป่าซีไรเนีย
จับหมูป่าแห่งเขาอีไรแมนทัส
ชำระคอกสัตว์ของท้าวออเจียส
สังหารนกกินคน สทิมเฟเลียน
จับกระทิงแห่งเกาะครีต
จับม้าของไดโอมีดีส
ชิงเข็มขัดของนางฮิปโพลีที
ชิงฝูงโคของยักษ์จีริออน
เก็บผลแอปเปิลทองคำของนางเฮสเพอริดีส
เอาหมาสามหัวเซอร์บิรัสมาจากยมโลก
หลังภารกิจ เฮราคลีสยังได้ร่วมไปกับขบวนนาวิกของเจสัน เพื่อไปค้นหาขนแกะทองคำ และประกอบวีรกรรมอื่นๆ อีกมาก แต่เหมือนบาปกรรมของเฮราคลีสยังไม่สิ้นสุด เขาเกิดวิกลจริตสังหารเพื่อนอีก จนต้องไปเป็นทาสนางออมฟลี ต้องสวมชุดสตรีและทำการงานของผู้หญิง เมื่อพ้นโทษ เขาจึงได้นางเดียไนระเป็นภรรยา

นางเดียไนระนี้เป็นเหตุแห่งความตายของเฮราคลีส เพราะนางหลงเชื่อคำลวงของเซนทอร์ชื่อ เนสสัส จึงนำเสื้อคลุมเปื้อนเลือดเซนทอร์ซึ่งเป็นยาพิษไปให้เฮราคลีสสวม ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นยาเสน่ห์จะให้เฮราคลีสรักแต่ตนเพียงผู้เดียว เมื่อเฮราคลีสจะตาย เทพซูสจึงบันดาลให้ร่างเขาไหม้เป็นจุณแล้วรับขึ้นสวรรค์ ประทานเทพธิดาฮีบีให้เป็นคู่ครอง

ที่มา http://th.wikipedia.org

เฮอร์คิวลีส




เฮอร์คิวลีส (อังกฤษ: Hercules) เป็นชื่อโรมันของเทพเจ้ากรีก ชื่อ เฮราคลีส (Heracles) เฮอร์คิวลีส เป็นลูกของเทพซุส และ อัลค์เมนา (มนุษย์) เฮอร์คิวลีส มีภรรยาสองคน: เทพีเมการา (Megara) และ เทพีไดอะไนรา (Deianeira)

ที่มา
ชื่อภาษาละตินของเฮอร์คิวลีสมิได้เป็นชื่อที่แปลงมาโดยตรงจากชื่อกรีก “เฮราคลีส” แต่แปลงมาจากตำนาน อีทรัสคัน “เฮอร์คลี” (Hercle) ซึ่งมาจากชื่อกรีก การตั้งสัตย์สาบานโดยกล่างชื่อเฮอร์คิวลีส (“เฮอร์คลี!” หรือ “เมเฮอร์คลี!”) เป็นที่นิยมกันในภาษาละตินโบราณ (Classical Latin)

ลักษณะ
รูปเฮอร์คิวลีสในศิลปะของโรมันและเรอเนซองส์ และหลังเรอเนซองส์ที่ใช้รูปสัญลักษณ์ของโรมันจะมีสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น สิงห์โตเนเมียน และ ตระบอง ในงานโมเสกเฮอร์คิวลีสจะเป็นผู้ที่มีผิวคล้ำแดดเป็นการแสดงว่าเป็นผู้สำบุกสำบันจากกิจการต่างที่ต้องทำกลางแจ้ง[2] เฮอร์คิวลีสเป็นแบบแผนที่ที่เป็นตัวอย่างของความเป็นบุรุษที่มีความแข็งแรง ความกล้าหาญ และมีกระหายที่รวมไปถึงความต้องการทางเพศทั้งกับสตรีและเด็กหนุ่ม (pederasty) แต่ลักษณะดังกล่าวก็มิได้ทำให้เฮอร์คิวลีสขาดความมีความขี้เล่น ผู้ที่มักจะเล่นเกมส์เพื่อผ่อนคลายจากงานหนักและมักชอบเล่นกับเด็ก[3] แม้ว่าเฮอร์คิวลีสจะเป็นนักรบผู้กล้าหาญแต่ก็ยังใช้วิธีขึ้โกงเพื่อให้คู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ แต่ในขณะเดียวกันก็มีชื่อว่าเป็นผู้ “ทำให้โลกเป็นที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์” โดยการสังหารสัตว์ร้ายที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ความเสียสละของเฮอร์คิวลีสทำให้ได้รับตำแหน่งในบรรดาเทพเจ้าโอลิมเปียนและเป็นที่ต้อนรับโดยเทพเจ้า

ที่มา http://th.wikipedia.org

เซเลนา




เซเลนา ควินตานิลลา เปเรซ (สเปน: Selena Quintanilla-Pérez) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ เซเลนา (Selena) เป็นนักร้องชาวอเมริกัน ที่มีฉายาว่าเป็น "ราชินีแห่งดนตรี Tejano"[2] เป็นลูกคนเล็กของคู่ชาวเม็กซิกัน เซเลนามีผลงานอัลบั้มแรกตั้งแต่อายุได้ 12 ปี เธอได้รับรางวัลนักร้องหญิงแห่งปีในงาน 1987 Tejano Music Awards และเธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงอีเอ็มไอ ในอีกหลายปีต่อมา ชื่อเสียงเธอมีมากขึ้นในต้นทศวรรษ 1990 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่พูดภาษาสเปน

เซเลนา เป็นที่รู้จักทั้งอเมริกาเหนือ เมื่อเธอถูกฆาตกรรม เมื่ออายุได้เพียง 23 ปี โดย Yolanda Saldívar ประธานกลุ่มแฟนคลับของเธอเอง เมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1995 หลังจากการเสียชีวิตของเธอ 2 สัปดาห์ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ขณะนั้น ออกแถลงว่าวันเกิดของเธอ จะใช้ชื่อว่า "วันเซเลนา" ในรัฐเท็กซัส [3] วอร์เนอร์ บราเทอร์ส สร้างภาพยนตร์ที่อิงจากชีวประวัติของเธอ เรื่อง เซเลนา นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ โลเปซ และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 ได้มีการทำอนุสรณ์เพื่อรำลึกของเธอให้กับพิพิธภัณฑ์ โดยทำเป็นรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงทำจากบรอนซ์


ที่มา http://th.wikipedia.org

4 กุมภาพันธ์ 2553

เฮดีส




เฮดีส (อังกฤษ: Hades, /ˈheɪdiz/) ในที่ชาวโรมันเรียกว่า พลูโต (Pluto) เทพเจ้าผู้ปกครองนรกและโลกหลังความตาย ในตำนานถือว่ามีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของ ซูส ราชาแห่งเหล่าเทพ และยังถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งทรัพย์เพราะเทพเฮดีสมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างภายใต้พื้นพิภพ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดีส (Dis) ซึ่งแปลตรงตัวว่า ทรัพย์สิน

เฮดีส แท้ที่จริงแล้วเป็นเทพที่มีความยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งเช่นเดียวกับซูส หรือ โพไซดอน เนื่องจากเป็นพี่น้องกัน แต่ทว่าความที่เฮดีสเป็นผู้ปกครองนรกซึ่งเป็นโลกใต้ดินซึ่งมีแต่ความมืดมิดและน่ากลัว จึงไม่ใคร่ขึ้นไปยังเขาโอลิมปัส อีกทั้งเทพองค์อื่น ๆ ก็ไม่ใคร่ที่จะต้อนรับเฮดีสด้วย ดังนั้น เฮดีสจึงไม่มีชื่อเป็นหนึ่งในเทพโอลิมปัสเฉกเช่นองค์อื่น ๆ

เฮดีส ได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มีความเที่ยงธรรมอย่างมาก ตัดสินความดีชอบของคนตายโดยปราศจากอคติใด ๆ ทั้งสิ้น กล่าวกันว่า พระองค์มีหมวกวิเศษอยู่ใบหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้สวมหายตัวได้ ซึ่งในครั้งที่ทำสงครามกับเหล่าไททันส์นั้น เฮดีสใช้หมวกนี้ลอบเข้าไปทำลายอาวุธของไททันส์ก่อนการต่อสู้ และพระองค์มีเทพผู้ช่วยในการตัดสินความดีชั่วในยมโลกอีก 3 องค์คือ ราดาแมนทีส, ไมนอส, ไออาคอส ที่เรียกว่า สามเทพสุภา และยังมีฮิปนอส เทพแห่งการหลับไหล และ ทานาทอส เทพแห่งความตายคอยช่วยอีก

เฮดีส มีชายาองค์หนึ่งชื่อ เพอร์ซิโฟเน (Persephone) ซึ่งเป็นพระธิดาองค์เดียวของ ดีมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเกษตร จากความงดงามของนางเพอร์ซิโฟเน ทำให้เฮดีสลืมเลือนไปหมดสิ้นว่า นางที่แท้จริงคือหลานสาวแท้ ๆ ของตน เพราะว่า ดีมิเทอร์มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาของพระองค์เอง เมื่เฮดีสได้ฉุดนางไปเป็นเทพีแห่งนรกคู่กัน ทำให้เกิดเป็นกรณีพิพาทขึ้นระหว่างทวยเทพแห่งโอลิมปัส ซูสซึ่งเป็นองค์ประธานได้ตัดสินให้เฮดีสต้องคืนเพอร์ซิโฟเนแก่ดิมิเทอร์ เฮดีสก็ใช้อุบายลวงให้นางต้องมาหาตนปีละ 3 เดือนทุกปีไป ดังนั้นในปึหนึ่ง ๆ เฮดีสจึงต้องประทับอยู่อย่างเดียวดายนานอยู่ถึง 9 เดือน แต่ทั้งที่ต้องประทับอยู่อย่างเดียวดายนานถึงปีละ 9 เดือน เฮดีสก็พิสูจน์องค์เองว่าเป็นพระสวามีที่ซื่อสัตย์

ชาวกรีกโบราณจะถวายการสักการะแด่เฮดีสด้วยแกะดำ และเป็นพิธีกรรมที่เร้นลับสืบมาที่ได้ค่อนข้างยาก แต่ก็สืบทอดกันมาว่า หากจะบูชาเทพแห่งความตายหรือเทพอันใดที่เป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัวหรือชั่วร้าย ต้องบูชายัญด้วยแพะหรือแกะดำ

ในวัฒนธรรมสมัยนิยมเฮดีส ในวัฒนธรรมสมัยนิยมมักถูกสร้างให้เป็นตัวละครฝ่ายร้าย เช่น การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง เซนต์เซย่า เฮดีสเป็นเทพเจ้าที่หวังยึดครองโลกมาแต่ครั้งเทพนิยาย ภาคสุดท้ายของการ์ตูนชุดนี้เป็นเรื่องของเหล่าเซนต์ต่อสู้กับเหล่าสเป็คเตอร์ของเฮดีส เฮดีสมีรูปร่างที่งดงามและหลงใหลรูปตัวเองมาก จึงซ่อนร่างที่แท้จริงไว้ในปราสาทที่เอเริเซี่ยน จึงอาศัยอันโดรเมด้า ชุนเป็นร่างสิงสถิตย์แทน

หรือ ภาพยนตร์การ์ตูนของวอลต์ ดีสนีย์ เรื่อง Hercules ในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) เฮดีสก็เป็นตัวโกงในเรื่องด้วย

ในวีดีโอเกมเพอร์โซนา 2ในชุดเมกามิเทนเซย์ เฮดีสเป็นเพอร์โซนาของเอคิจิ มิชินะ โดยมีลักษณะเป็นชายคลุมหน้าและมีโล่ที่เป็นหัวกระโหลก


ที่มา http://th.wikipedia.org

คิวปิด




คิวปิด (อังกฤษ: Cupid, kyu pɪd) หรือ อีรอส (อังกฤษ: Eros, /ɪər ɒs หรือ ɛr ɒs/) เป็นเทพเจ้าแห่งความรักของโรมัน นิยมเรียกในภาษาไทยว่า "กามเทพ" มักวาดภาพเป็นเด็กชายตัวจ้ำม่ำ เปลือย มีกระบอกศรอยู่ข้างหลัง ในมือถือคันศร หรือกำลังน้าวศร

ตำนานเล่าความเป็นมาของเทพเจ้าองค์นี้ต่างๆ กันไป ซิเซโร (Cicero) ได้เล่าไว้ 3 ทางด้วยกัน ทางหนึ่งว่า เป็นโอรสของเมอร์คิวรี (เฮอร์มีส) และเทพีไดอานา (อาร์ทีมิส) อีกทางหนึ่งว่า โอรสของเมอร์คิวรี และวีนัส (อโฟรไดท์) และอีกทางหนึ่งว่า เป็นโอรสของมาร์ส (เอรีส ตามปกรณัมของกรีก) และวีนัส

สำหรับพลาโตว่าไว้สองทาง ขณะที่ในเธโอโกนีของเฮสิออด ซึ่งเป็น ตำราเทวภูมิศาสตร์ (theoography) ที่เก่าแก่ที่สุดของกรีกโบราณ ระบุว่า คิวปิด ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับเคออส และโลก

ในตำราเกี่ยวกับเทพเจ้าโบราณโดยทั่วไป ระบุว่ามีคิวปิดสององค์ หรือสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่าเป็นโอรสของจูปิเตอร์ (เซอุส) และวีนัส อีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นโอรสของนีกซ์ และเอเรบุส

ในตำนานการกำเนิดของคิวปิดส่วนใหญ่ที่ปรากฏบอกไว้ว่า เทพีวีนัสหรืออโฟรไดท์ ได้ลักลอบเป็นชู้กับเทพสงครามเอรีส (เนื่องจากฝ่ายหญิงได้สมรสแล้วกับเฮเฟสทัส เทพแห่งการช่าง แต่เทพีวีนัสไม่พอใจ เพราะเทพสวามีเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับงานของตน อีกอย่าง พระนางก็พอใจเทพเอรีสมาแต่แรก แต่ที่ได้แต่งงานกับเทพเฮเฟสทัสเพราะเทพซีอุสยกพระนางให้เป็นรางวัลแก่เทพเฮเฟสทัส) จนกระทั่งมีโอรส ให้นามว่า คิวปิด หรือ อีรอส กล่าวกันว่า คิวปิดติดแม่มาก และเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง เห็นเทพีวีนัสที่ใดก็ต้องมีโอรสคู่ใจอยู่ด้วยเสมอ แต่เวลาก็ล่วงเลยมานาน กามเทพที่สมควรจะเติบโตเป็นหนุ่มกลับไม่ยอมเติบโตขึ้นตามกาลเวลา เทพีผู้เป็นมารดาหนักใจมากจึงไปปรึกษาเทวีธีมิสแห่งความยุติธรรม พระนางจึงได้คำตอบว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะคิวปิดเหงา ไม่มีเพื่อนเล่น หากคิวปิดมีน้อง กามเทพน้อยก็จะเติบโตเอง ไม่นานจากนั้น เทพีอโฟรไดท์ก็มีโอรสอีกองค์กับเทพเอรีส ให้นามว่า แอนตีรอส (เทพแห่งการรักตอบ) คิวปิดจึงเติบโตขึ้นตามเวลา แต่เหล่าศิลปินยังคงปั้นคิวปิดเป็นเด็กอยู่เช่นนั้นเอง

ความรักของคิวปิด

ความรักครั้งแรกและครั้งเดียวของกามเทพหนุ่มเริ่มขึ้นด้วยความริษยาของเทพีผู้เป็นมารดา เทพีวีนัสนั่นเอง

ครั้งหนึ่งในยุคกรีกโบราณ พระราชากรีกพระองค์หนึ่งมีพระธิดาทั้งหมดสามองค์ พระธิดาองค์พี่ทั้งสองมีความงดงามสะคราญยิ่งนัก แต่ทว่าความงามใดเลยจะมาสู้ธิดาองค์เล็กที่มีนามว่า ไซคี (Psyche) ได้ พระบิดาพระมารดารวมทั้งผู้คนทั่วนครต่างพากันชื่นชมความงดงามของไซคี จนพระพี่นางทั้งสองต่างพากันอิจฉาริษยาไซคีในใจ

แต่ความงามเหนือใครของไซคีนี่เอง ทำให้เรื่องร้ายมาถึงตัว เพราะเทพีวีนัส เทพีแห่งความงามเกิดความริษยาเจ้าหญิงชาวมนุษย์ขึ้นมาจับใจ เพราะพระนางคิดว่าตนคือผู้มีความงามยิ่งกว่าใครมาตลอด แต่ตอนนี้ ชาวเมืองกลับยกย่องไซคีจนล้ำเส้นตำแหน่งพระนาง ของบวงสรวงให้แก่เทพีวีนัสก็ไม่มีเพราะผู้คนต่างไปชมโฉมเจ้าหญิงไซคีกันหมด เทพีวีนัสจึงคิดแผนการร้ายแรงเพื่อทำลายไซคีขึ้นมา เพื่อไม่ให้ผู้ใดใฝ่ฝันถึงนางอีก โดยที่พระนางได้สั่งให้คิวปิดผู้เป็นโอรสแผลงศรความรักให้ไซคีตกหลุมรักชายผู้มีนิสัยชั่วช้าที่สุดในแผ่นดินสักคน หรือบางตำนานก็กล่าวว่า ให้นางหลงรักอสุรกายน่ารังเกียจ แต่จุดหมายก็เพื่อให้เจ้าหญิงไซคีต้องทนทุกข์ทรมาณอย่างสาหัสสมใจพระนาง

แม้จะไม่อยาก แต่คิวปิดก็กลัวแม่และเชื่อฟังมามาตั้งแต่ต้น กามเทพหนุ่มจึงจำยอมทำตามแผนการของเทพีวีนัสอย่างช่วยไม่ได้ คิวปิดบินเข้าในที่ประทับของไซคีเมื่อนางหลับ และเตรียมพร้อมจะยิงลูกศรรักในมือใส่นางตามแผนการ แต่ทว่าด้วยความงดงามของไซคีทำให้คิวปิดถึงกับตะลึงค้างชมโฉมนางอยู่พักใหญ่ และเมื่อไซคีพลิกตัว กามเทพหนุ่มก็สะดุ้งตกใจจนศรรักในมือปักเข้าถูกร่างกายตนเอง ทำให้เป็น คิวปิด ที่หลงรักไซคีจนถอนตัวไม่ขึ้น

คิวปิดต้องพบกับสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็คือมารดาที่เคารพรักอย่างสูง แต่อีกฝ่ายก็คือหญิงที่รักสุดหัวใจ สุดท้ายกามเทพหนุ่มจึงขอความช่วยเหลือลับๆจากเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในการอยู่กินกับไซคีโดยไม่ให้เทพีวีนัสรู้

แผนการขั้นที่หนึ่งของคิวปิดเริ่มขึ้น ด้วยการขัดขวางไม่ให้มีใครมาสู่ขอไซคี เวลาผ่านพ้นไปนาน พระพี่นางทั้งสองได้ แต่งงาน ออกจากเมืองไป เหลือแต่ไซคีที่ยังเปล่าเปลี่ยวไม่มีใครมาสู่ขอ เพราะต่างก็คิดกันว่านางสูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง พระบิดาของไซคีจึงบวงสรวงขอคำทำนายจากวิหารเดลฟีของเทพอพอลโล เพื่อหาคำตอบว่าเนื้อคู่ของไซคีเป็นใคร

แต่คำทำนายที่ได้มากลับทำให้ผู้คนทั่วนครตระหนกอย่างมาก เพราะมันได้กล่าวว่า เนื้อคู่ของไซคีเป็นอสุรกายที่น่าเกลียดน่ากลัวที่ไร้เทียมทานไม่มีผู้ปราบได้ ซึ่งตอนนี้กำลังรอคอยนางอยู่บนยอดเขา และห้ามไม่ให้นางมองดูสามีเป็นอันขาด ทุกคนต่างเศร้าสลดโดยเฉพาะเจ้าหญิงไซคี แต่นางก็ทำใจกับโชคชะตา ชาวเมืองและพระบิดาพระมารดาจัดขบวนส่งเจ้าสาวไปยังหน้าผาด้วยความโศกเศร้า ก่อนจะทิ้งเจ้าหญิงไว้เพียงคนเดียวบนยอดเขา

ไซคียืนอยู่บนหน้าผาด้วยความตระหนกเพื่อรอคอยการมารับของว่าที่สวามี ทันใดนั้น เทพลมเซฟิโรส ซึ่งเป็นลมตะวันออกก็ปรากฏตัวขึ้น และได้บรรจงพัดพาไซคีไปยังยอดขุนเขา ซึ่งมีตำหนักงดงามตั้งอยู่พร้อมกับสาธารณูปโภคครบครัน สวยงามเกินกว่าจะเป็นที่อยู่ของอสุรกายดังคำทำนาย ไซคีใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเพียงคนเดียวจนกระทั่งฟ้ามืด คิวปิดก็มาอยู่กับไซคีตามแบบสามีภรรยา ซึ่งพอแผนการสำเร็จ คิวปิดก็โกหกเทพีวีนัสว่าไซคีพบกับความวินาศตามที่พระนางตั้งใจไว้แล้ว

ทุกคนต่างมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งความสงสัยในใจของไซคีเกิดทับถมจนยากจะเก็บ เพราะคิวปิดนั้นมาอยู่กับไซคีในเวลากลางคืนซึ่งมืดมิดมองอะไรไม่เห็น และรีบกลับไปเมื่อฟ้าใกล้สว่าง อีกทั้งความรู้สึกของนางบ่งบอกได้ว่าสวามีไม่ใช่อสุรกายน่าเกลียด ไซคีจึงขอดูใบหน้าที่แท้จริงของคิวปิด แต่กามเทพหนุ่มปฏิเสธ เพราะถ้าความลับแตก ไซคีก็จะเป็นอันตราย จึงขอให้นางสัญญาว่าจะไม่ดูรูปโฉมของเขา เพราะไม่เช่นนั้นเราคงจะไม่มีวันได้พบกันอีก ไซคีจึงให้สัญญา และใช้ชีวิตสามีภรรยากับคิวปิดในความมืดของเวลากลางคืนต่อมา

กระทั่งไซคีมีความต้องการอยากพบพี่สาวทั้งสองเป็นกำลัง คิวปิดอยากจะปฏิเสธแต่ก็เห็นแก่ภรรยา จึงสั่งให้เทพลมเซฟิโรสไปรับพระพี่นางของไซคีมาที่ตำหนัก พี่สาวทั้งสองฉงนกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพราะคิดว่าน้องสาวตนคงต้องทรมาณกับการมีสามีอัปลักษณ์ แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด พี่สาวทั้งสองซักถามถึงรูปร่างลักษณะของสามี แต่ไซคีตอบไม่ได้เพราะไม่เคยได้เห็นหน้าคิวปิด พี่สาวทั้งสองจึงยุให้ไซคีแอบดูโฉมหน้าของสามี และให้มีดแก่นางเพราะถ้าเป็นอสุรกายจริงๆจะได้ฆ่าทิ้งเสีย

ตกดึก คิวปิดก็มาอยู่กับไซคีดังเช่นเคย เมื่อคิวปิดหลับไปแล้ว ไซคีจึงลุกขึ้นจุดตะเกียงส่องดูหน้าสามี ภาพที่ปรากฏคือเทพบุตรหนุ่มรูปงามที่มีปีกขาวสะอาดซึ่งหล่อเหลาคมคายมากกว่าชายใดที่ไซคีเคยรู้จัก นางชมโฉมคิวปิดเพลิน น้ำมันตะเกียงร้อนๆหดรดคิวปิดจนเขาสะดุ้งตื่น คิวปิดโกรธไซคีมากที่ผิดสัญญา จึงได้หนีจากไซคีไป เมื่อไซคีรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่านางกลับมาที่วังของตน หาใช่ตำหนักแสนสุขที่ได้อยู่ร่วมกับสามีอีกต่อไป

ไซคีเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น นางพร่ำโทษตัวเองที่ผิดคำสัญญา นางจึงตัดสินใจละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อติดตามหาคิวปิด ซึ่งยากลำบากมากสำหรับผู้หญิงอ่อนบางแถมยังได้รับการเลี้ยงดูแบบเจ้าหญิงอย่างไซคี

แต่พี่สาวทั้งสองของไซคีกลับรู้สึกยินดี พร้อมทั้งไปที่หน้าผาเรียกเทพลมมารับ เพราะคิดว่าคิวปิดอาจจะรับพวกนางเป็นชายาแทนไซคี แต่เพราะเทพลมเซฟิโรสไม่ได้รับคำสั่งให้มา เมื่อพวกนางกระโจนออกจากหน้าผา พวกนางจึงตกเขาตาย

ไซคีซัดเซพเนจรรอนแรมตามหาคิวปิดอย่างยากลำบาก จนพบเข้ากับวิหารเทพีดิมิเทอร์ เทพีแห่งพืชผล ซึ่งของบูชานั้นวางระเกะระกะไม่มีระเบียบเพราะชาวไร่ต่างเหนื่อยล้าจากการทำงาน ไซคีจึงจัดระเบียบของเซ่นสรวงจนเรียบร้อย เทพีดิมิเทอร์พอใจมาก จึงบอกให้ไซคีไปที่วิหารของเทพีวีนัสเพื่อขออภัยโทษ

แต่เทพีวีนัสมีความริษยาแรง จึงหาทางกลั่นแกล้งไซคีต่างๆนานาๆ โดยให้ไซคีแยกเมล็ดข้าว ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโพด ถั่ว และธัญญาหารชนิดต่างๆ ที่ปะปนอยู่ในฉางแยกออกมาให้เสร็จก่อนค่ำเพื่อให้นกพิราบของพระนางกิน ไซคีถึงกับท้อแท้ใจเพราะนางเป็นแค่หญิงมนุษย์ธรรมดา ไม่มีทางจะทำสิ่งที่เกินความสามารถเช่นนี้ได้แน่นอน

ในขณะเดียวกัน คิวปิดที่คอยเฝ้ามองดูแลไซคีอยู่ห่างๆ ตลอดเวลาก็ส่งมดฝูงใหญ่มาช่วยงานไซคี โดยมดทั้งหมดต่างแยกธัญญาหารอย่างเรียบร้อย และรีบกลับไปก่อนค่ำ

เทพีวีนัสกริ้วมากเพราะรู้ว่าไซคีไม่ได้ทำเอง และคนที่ช่วยเหลือนางก็คือโอรสของพระนางนั่นเอง จึงสั่งให้ไซคีไปเก็บขนแกะทองคำมาให้พระนาง ซึ่งแกะขนทองฝูงนั้นโหดร้ายมาก แต่เทพประจำแม่น้ำก็ช่วยเหลือไซคี บอกเคล็ดลับต่างๆ จนไซคีทำภารกิจที่สองสำเร็จ

เมื่อผู้เป็นสะใภ้สำเร็จภารกิจประทุษร้ายมาได้ทั้งสองครั้ง ทำให้เทพีวีนัสคิดแผนการร้ายกาจที่สุดขึ้นมาได้ โดยรับสั่งให้ไซคีนำผอบไปขอเครื่องประทินโฉมจากเทพีเพอร์ซิโฟเน มเหสีของเทพเฮดีสแห่งยมโลกมาถวายพระนาง ซึ่งหมายถึงการส่งไซคีไปตายนั่นเอง

ไซคีท้อถอยหมดกำลังใจอย่างมากเมื่อรู้ความหมายของเทพีวีนัส นางจึงคิดว่า ดีเหมือนกัน ในเมื่อสามีไม่เหลียวมองตนอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ดังนั้น เจ้าหญิงไซคีจึงขึ้นไปยังยอดผาเตรียมตัวกระโดดฆ่าตัวตายไปสู่ยมโลกในทางลัด

แต่ยังไม่ทันที่ไซคีจะทำตามความตั้งใจ คิวปิดที่เฝ้ามองนางอยู่จึงเอ่ยปลอบประโลมนางอย่างอ่อนโยนด้วยความรักและสงสาร ทว่าทิฐิก็ยังทำให้กามเทพไม่ยอมปรากฏกายให้ไซคีเห็น ไซคีได้ยินเสียงปลอบใจปริศนานั้นก็ทำให้มีกำลังใจสู้ต่อ คิวปิดบอกวิธีต่างๆ ในการไปนรกอย่างปลอดภัยให้กับไซคี พร้อมกับย้ำเตือนนางไม่ให้นางเปิดผอบเครื่องประทินโฉมนั้นเป็นอันขาด

ไซคีทำตามที่คิวปิดบอกทุกประการยกเว้นประการสุดท้าย ด้วยความสงสัยอันเป็นพื้นฐานจิตใจมนุษย์ทำให้ไซคีเปิดผอบขึ้นดู ทันใดนั้นควันประหลาดก็พวยพุ่งใส่ไซคี ทำให้นางสลบแน่นิ่งลงไปทันที เพราะแท้จริงแล้วสิ่งในผอบคือ มนตร์แห่งการหลับใหล นั่นเอง

คิวปิดที่รอคอยไซคีอยู่ปากถ้ำยมโลกเห็นไซคีตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นก็รีบเข้ามาหาชายา พร้อมกับรวบรวมมนตร์เก็บในผอบและปลุกไซคีให้ฟื้นขึ้นมา

ไซคีดีใจมากเมื่อได้สวามีอีกครั้งหนึ่ง แต่คิวปิดก็ติเตียนนางเกี่ยวกับความอยากรู้อยากเห็นที่เป็นโทษแก่นางมาหลายครั้งแล้ว ไซคีกล่าวขอโทษ คิวปิดจึงบอกว่านางควรไปทำภารกิจที่ได้รับมาให้สำเร็จเสียก่อน

จากนั้นคิวปิดก็ขึ้นไปบนเขาโอลิมปัส ขอร้องแก่ทวยเทพทุกองค์ให้ช่วยเหลือ โดยเทพซีอุสขอให้เทพีวีนัสเลิกจงเกลียดไซคี และได้ประทานน้ำอมฤตแก่ไซคี เพื่อให้นางกลายสภาพเป็นเทพีอีกองค์หนึ่ง

ท้ายสุด ไซคีและคิวปิดก็มีธิดาด้วยกันหนึ่งองค์คือ เดลิซิโอ (Delicio - รากศัพท์ของคำว่า Delicious) ทั้งสองได้ครองค่อยู่ด้วยกันตราบนานเท่านานและไม่พลัดพรากจากกันอีกต่อไป

ในทางจิตวิทยา ชื่ออีรอสหมายถึงแรงขับของจิตสำนึกที่แสวงหาความสุขแก่ตนเอง

ที่มา http://th.wikipedia.org

เพอร์เซฟะนี




เพอร์เซฟะนี (อังกฤษ: Persephone, /pərˈsɛfəni/) เป็นธิดาของดิมีเทอร์เทวีแห่งธัญพืชและการเกษตรกับเทพซูส พระนางมีทั้งรูปโฉมที่สวยสะคราญและน้ำเสียงอันไพเราะที่สามารถปลุกชีวิตชีวาให้แก่ธรรมชาติ เหล่าสัตว์ป่ามักจะชอบเข้ามาคลอเคลียกับพระนาง ไม่ว่าเยื้องกรายไปทางไหน พืชพันธุ์ที่เคยเหี่ยวแห้งก็จะฟื้นกลับมาอุดมสมบูรณ์ เทพีดิมีเทอร์จึงรักพระธิดาองค์เดียวอย่างสุดสวาทขาดใจ

ในยามเยาว์เพอร์เซฟะนีมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะประพฤติตนเป็นเทพพรหมจารย์เช่นเดียวกับ เฮสเทีย ผู้เป็นป้า และอธีนากับอาร์เทอมีสผู้เป็นพี่สาว แต่ความตั้งใจนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพีอโฟรไดต์ ผู้เป็นเทวีแห่งความรักเป็นอย่างมาก เพราะการมีเทพที่ประพฤติตนเป็นพรหมจารีย์มากถึง 3 องค์นั้นมากเกินพออยู่แล้วสำหรับนาง ประกอบกับในขณะนั้นเฮดีสเทพแห่งโลกใต้พิภพเองก็ไร้คู่ เนื่องจากไม่มีเทวีองค์ใดต้องการที่จะลงไปใช้ชีวิตอยู่ใต้พิภพที่มืดมิดและเงียบเหงา อะโฟรไดต์จึงส่งอีรอส หรือ คิวปิด ไปหาโอกาสทำให้เทพเฮดีสและเทวีเพอร์เซฟะนีหลงรักกันให้ได้

จนกระทั่งวันหนึ่งเทพ เฮดีสแห่งยมโลกได้ขึ้นมายังพื้นโลก อีรอสจึงยิงลูกศรกามเทพปักอกเทพแห่งยมโลกอย่างจัง และคนแรกที่เทพเฮดีสได้พบก็คือ เทวีคนงาม เพอร์เซฟะนี นั่นเอง ทำให้เทพเฮดีสหลงรักเทพีผู้เป็นหลานสาวอย่างสุดหัวใจ ทันใดนั้นเองเทพเฮดีสก็ได้ตัดสินใจคว้าร่างเทพีเพอร์ซิโฟเน่ขึ้นมาบนรถม้า และตรงดิ่งลงไปยังใต้พิภพและแต่งตั้งนางให้เป็นราชินีแห่งโลกใต้พิภพ

เทพีดิมีเทอร์เศร้าโศกเสียใจอย่างหนักที่ธิดาสุดที่รักหายตัวไปจนกระทั่งพืชผลเหี่ยวแห้งทั่วโลก ชาวมนุษย์เดือดร้อนอดตายเป็นจำนวนมาก เทพซูสจึงเรียกตัวพี่ชาย เทพเฮดีส ขึ้นมา เพื่อขอเทพีเพอร์เซฟะนีคืน แต่ทว่าในระหว่างที่อยู่ในยมโลก เทพีเพอร์เซฟะนีได้เสวยอาหารทิพย์เม็ดเล็กๆ หรือในบางตำนานว่าเมล็ดของผลทับทิมของยมโลกไป 3 เมล็ด ซึ่งผู้ใดได้รับประทานอาหารชนิดนี้ไปแล้วจะต้องผูกพันอยู่กับโลกใต้พิภพและจะจากไปไม่ได้ เทพซูสจึงทำข้อสัญญาตกลงกันว่า จะให้เทพีเพอร์เซฟะนีอยู่บนโลกตามใจชอบเป็นเวลา 9 เดือน จากนั้นก็ให้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่ยมโลกเป็นเวลาอีก 3 เดือน ซึ่งในระหว่างที่ธิดาไม่อยู่ เทพีดิมีเทอร์ก็จะเศร้าโศก พืชผลก็จะปลูกไม่ขึ้น แห้งแล้ง แต่เมื่อองค์ธิดากลับมาสู่อ้อมอก พืชผลก็จะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฤดูกาลนั่นเอง

เทพีเพอร์เซฟะนี ยังเป็นเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิด้วย ในตำนานมักระบุว่าเพอร์เซฟะนีเป็นราชินีแห่งยมโลกผู้เย็นชาไม่ต่างจากพระสวามี มีเพียงคราวที่ออร์ฟิอุสเดินทางมายังยมโลกและเล่นดนตรีเล่าถึงความโศกเศร้าที่ต้องจากคนรักเท่านั้น ที่ทั้งนางและฮาเดสถึงกับกรรแสง

ที่มา http://th.wikipedia.org

ไดอะไนเซิส




ไดอะไนเซิส (อังกฤษ: Dionysus หรือ Dionysos, ˌdaɪəˈnaɪsəs; กรีกโบราณ: Διόνυσος หรือ Διώνυσος) หรือ แบคคัส (อังกฤษ: Bacchus, ˈbækəs)

ใน ตำนานเทพเจ้ากรีก “ไดอะไนเซิส” เป็นเทพเจ้าแห่งไวน์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจของความประเพณีความคลั่งและความปิติอย่างล้นเหลือ (ecstasy) และเป็นเทพองค์ล่าสุดในสิบสองเทพโอลิมปัส ที่มาของไดอะไนเซิสไม่เป็นที่ทราบ แต่ตามตำนานว่าได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ

เทพไดโอไนซูส เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า แบคคัส เทพแห่งเมรัย และไวน์องุ่น เป็นบุตรของเทพซูสกับนางซิมิลี่ ซึ่งเป็นมนุษย์ ธิดาแห่งกรุงเธป เทพซูสได้แปลงกายเป็น มนุษย์รูปงามลงมาโลกมนุษย์ เพราะเกรงว่ามเหสี พระนางเฮร่า จะรู้เข้า และกลัวว่านางซิมิลี่จะเกรงกลัวในรัศมีของพระองค์ และในที่สุด ก็ได้นางเป็นชายาอีกองค์ แต่แล้ว พระนางเฮร่า ก็รู้เข้า จึงได้แปลงกายมาเป็นคนรับใช้ของนางซิมิลี่ มาหลอกล่อให้นางอยากเห็นรูปร่างที่แท้จริงของเทพซุส

นางซิมิลี่ จึงได้ให้เทพซุสในรูปมนุษย์ ไปสาบานกับแม่น้ำสติ๊กซ์ ว่าจะให้ของขวัญแก่นาง แล้วนางซิมิลี่ ก็ให้เทพซุสเปลี่ยนร่างที่แท้จริงออกมา พระองค์เกรงว่า ถ้าให้นางเห็นร่างที่แท้จริงของพระองค์ จะทำให้นางซิมิลี่มอดไหม้ เพราะ รัศมีของพระองค์ จึงบอกแก่นางซิมิลี่ว่า จะดูแลลูกในครรภ์ของนาง ส่วนนางก็จะได้รับของขวัญสมใจ แล้วพระองค์ก้ได้ เปลี่ยนร่างเป็นเทพซูส นางซิมิลี่ก็มอดไหม้ไป แต่บุตรของนางไม่เป็นอะไรเพราะ เป็นบุตรแห่งเทพ จากนั้น เทพซูส จึงได้ให้พวกนิมฟ์ล นางไม้ ดูแลเทพไดโอไนซูส พวกนิมฟ์ล ได้สอนให้เทพไดโอไนซูส ปลูกพืชต่างๆ โดยเฉพาะองุ่น ต่อมาพระองคืได้ทดลองนำองุ่นไปหมักเอาไว้ และก็ได้ค้นพบ นำองุ่นที่รสชาติดีอย่างประหลาด ที่ยิ่งดื่ม ยิ่งมึนเมา ยิ่งอยากดื่ม ยิ่งสนุกสนาน พระองค์จึงได้เผยแพร่การทำไวน์องุ่นไปทั่วแดน และต่อมา เทพซูส ได้รับพระองค์ไปเป็นเทพโอลิมปัสอีกพระองค์ (เทพไดโอไนซูส และเทพีดิมีเตอร์ เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ที่ชาวกรีกและโรมันให้ความเคารพบูชายิ่งนัก)

ไดอะไนเซิสผู้เป็นเทพของการเกษตรกรรม และการละคร นอกจากนั้นก็ยังรู้จักกันในนามว่า “ผู้ปลดปล่อย” (Liberator) ที่ปลดปล่อยส่วนลึกของตนเองโดยทำให้คลั่ง หรือให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ หรือด้วยเหล้าองุ่น[1] หน้าที่ของไดอะไนเซิสคือเป็นผู้สร้างดนตรีออโลส (aulos) และยุติความกังวล[2] นักวิชาการถกกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไดอะไนเซิสกับ “คตินิยมเกี่ยวกับวิญญาณ” และความสามารถในการติดต่อระหว่างผู้ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ตายไปแล้ว[3]

ที่มา http://th.wikipedia.org

แอฟรอไดที




แอฟรอไดที (อังกฤษ: Aphrodite; กรีก: Ἀφροδίτη; ละติน: Venus) เป็นเทพเจ้ากรีกแห่งความรัก, ความปรารถนา, และความงาม ชื่ออื่นๆ ที่เรียก “ไคพริส” (Kypris) “ไซธีเรีย” (Cytherea) ตามชื่อสถานที่ ไซปรัส และ ไซธีราซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เกิดของแอฟรอไดที สิ่งศักดิ์สิทธิของแอฟรอไดทีได้แก่ต้นเมอร์เติล (Myrtle), นกพิราบ, นกกระจอก และ หงส์

เทพีแอฟรอไดทีเทียบได้กับเทพีวีนัส ในตำนานเทพเจ้าโรมัน

แอฟรอไดทีทรงเป็นเทพธิดาแห่งความรักและความงาม ทั้งความรักที่บริสุทธิ์ และความรักที่เต็มไปด้วยตัณหา และความริษยา ทรงครอบครองสายคาดวิเศษที่สามารถมัดใจเทพและชายทุกคนได้ในทันที ทรงเป็นผู้ให้พรเพื่อให้ผู้มีความรักสมหวัง ในขณะเดียวกันก็ทรงสามารถที่จะทำลายความรักของผู้ที่พระนางไม่พอใจได้ในทันที

กำเนิดอะโฟรไดท์
การกำเนิดของอะโฟรไดท์มีอยู่ 2 ความเชื่อ ความเชื่อแรกนั้นเชื่อว่าอะโฟรไดท์ถือกำเนิดขึ้นจากฟองน้ำในมหาสมุทร และความชื่อที่สองเชื่อว่าอะโฟรไดท์เป็นบุตรของซุสกับนางไดโอนี

คำว่า อะฟรอส ในชื่อของอะโฟรไดท์ หมายถึงฟองน้ำทะเล และคำว่าอะโฟรไดท์ ก็หมายถึง เกิดขึ้นจากฟองน้ำทะเล

เชื่อกันวว่าเมื่อครั้งที่โครนัสทำการโค่นอำนาจจากยูเรนัส โครนัสได้โยนบิดาของตนเองลงในมหาสมุทร ทำให้เกิดฟองน้ำที่มีเด็กหญิงอยู่ภายในขึ้น และหลังจากเด็กหญิงผู้นั้นเติบโต เธอก็ลอยมาติดฝั่งพาฟอส ของไซปรัส โดยมีเปลือกหอยเป็นพาหนะ

อีกความเชื่อหนึ่ง เชื่อว่าอะโฟรไดท์เป็นบุตรของซุส และไดโอนีแห่งเกาะดอโดน่า และว่าไดโอนีคือมเหสีองค์แรกของซูสก่อนที่จะสมรสกับเทพีเฮรา

ชีวิตรักของเทพีแห่งความรัก
เทพีอะโฟรไดท์เป็นหนึ่งในเทพีที่มือชื่อเสียทางด้านชู้สาวมาก พระนางได้รับบัญชาจากซุสให้สมรสกับเทพเฮเฟตุสผู้อัปลักษณ์และพิการ ซึ่งเป็นบุตรชายของซุสกับเฮรา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเทพและเทพีทั้งสองกลับไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เทพีอะโฟรไดท์ทรงมีความสัมพันธ์กับเทพและชายหนุ่มมากมายที่ไม่ใช่สวามีของตนเอง จนเกิดเรื่องราวนับไม่ถ้วน

หนึ่งในชู้รักของเทพีอะโฟรไดท์คือเทพอาเรส เทพแห่งสงครามผู้เป็นบุตรชายอีกองค์ของซุสและเฮรา เทพเฮเฟตุสได้ดัดหลังทั้งคู่ด้วยการวางกับดักตาข่ายไว้ที่เตียงนอน เมื่อถึงเวลาเช้าที่อาเรสจะหลบออกไปจากห้องบรรทมของอะโฟรไดท์ ทั้งเทพอาเรส และเทพีอะโฟรไดท์จึงรู้ตัวว่าติดกับดัก และต้องทนอับอายต่อการที่ถูกเทพทั้งมวลมองดูร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่อยู่เป็นเวลานาน

นอกจากอาเรสแล้ว อะโฟรไดท์ยังมีชายชู้อีกหลายคนรวมถึง อะโดนิส
และเฮอร์เมสด้วย

ที่มา http://th.wikipedia.org

อธีนา




เทพีอธีนา (อังกฤษ: Athena, /əˈθinə/) หนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส เป็นเทพีแห่งปัญญา เนื่องจากเกิดมาจากส่วนหัวของ ซูส ประมุขแห่งเหล่าทวยเทพ ในขณะที่กำลังประชุมเหล่าเทพที่เทือกเขาโอลิมปัส เมื่อจู่ ๆ ซูสเกิดปวดศีรษะอย่างรุนแรง จึงได้ให้เฮฟเฟสตุส เทพแห่งการตีเหล็กใช้ขวานผ่าศีรษะออก ปรากฏเป็นอธีนาที่สวมชุดเกราะพร้อมหอกกระโดดออกมา เทพีอธีนาเป็นธิดาของเทพีมีธิส ซึ่งถูกซูสกลืนเข้าไปในท้องตั้งแต่ยังมีครรภ์แก่ เนื่องจากคำทำนายที่ว่าบุตรที่เกิดจากนางจะเป็นผู้โค่นบัลลังก์ของซูส แต่แม้ว่าอธีนาจะถือกำเนิดมาพร้อมกับคำทำนายนั้น พระนางก็เป็นหนึ่งในลูกรักของของซูส ว่ากันว่าฮีราอิจฉาอธีนาที่ถือตัวว่าเป็นผู้กำเนิดมาจากซูสโดยตรง

และนอกจากอธีนาจะเป็นเทพีแห่งปัญญาแล้ว ยังเชื่อกันว่าพระนางเป็นเทพีแห่งสงครามด้วย เนื่องจากเทวรูปของพระนางมักปรากฏเป็นรูปผู้หญิงสวมชุดเกราะ ถือโล่ห์และหอกที่มือซ้าย และถือไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะที่มือขวา โดยที่ชื่อกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ก็มีที่มาจากพระนามของนาง ชื่อเต็มของอธีนาคือ พัลลัสอธีนา (Pallas Athena) ซึ่งชื่อพัลลัส มาจากเพื่อนมนุษย์ของอธีนาซึ่งเธอพลั้งมือสังหารไปขณะเล่นด้วยกัน จึงได้นำชื่อของพัลลัสมาใส่นำหน้าเพื่อเป็นที่ระลึก อธีนาเป็นตัวแทนของสงครามที่เอาชนะด้วยกลยุทธหรือความถูกต้อง ซึ่งต่างจากแอรีสที่เป็นเทพสงครามที่ใช้กำลังมากกว่า

นอกจากนี้ อธีนา ยังเป็นหนึ่งในสามเทพีพรหมจรรย์ด้วย ซึ่งประกอบด้วย พระนาง, อาร์เทมีส เทพีแห่งดวงจันทร์ และเฮสเทีย เทพีแห่งครัวเรือน


ชื่อเมืองเอเธนส์
ตามตำนานกรีกเล่าว่า ที่มาของชื่อเมืองเอเธนส์ (Athens) นั้น มาจากการที่ชาวกรีกจะตั้งชื่อเมืองแต่ไม่รู้จะใช้ชื่ออะไร โพไซดอน เทพแห่งมหาสมุทร ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของอธีนา ใช้ตรีศูลอาวุธของตนสร้างม้าขึ้นมา ชาวเมืองต่างพากันชื่นชมม้าเป็นอันมาก แต่เทพีอธีนาได้เนรมิตมะกอกขึ้นมา ซึ่งสามารถใช้ผลเป็นประโยชน์ได้ นอกจากนี้ มะกอก ยังเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ในขณะที่ม้าเป็นสัญลักษณ์ของสงคราม ชาวเมืองจึงตกลงใช้ชื่อเมืองว่า เอเธนส์ ตามชื่อของพระนาง และมะกอกก็กลายเป็นผลไม้เศรษฐกิจสำคัญอันดับหนึ่งของกรีซมาจนปัจจุบัน

อาจกล่าวได้ว่า อธีนา เป็นเทพที่ชาวกรีกให้ความนับถือมากที่สุดก็ว่าได้ ในสมัยโบราณมีการสร้างมหาวิหารเพื่อถวายแด่พระนาง คือ วิหารเพเธนอน ซึ่งตั้งอยู่ที่เนินอะโครโปลิส ที่กรุงเอเธนส์ในปัจจุบัน ในการท่องเที่ยวของกรีซ จะพบรูปปั้นขนาดเล็กของอธีนาขายเป็นที่ระลึกอยู่ทั่วไป ในวัฒนธรรมสมัยนิยมก็ถูกอ้างถึงในการ์ตูนญี่ปุ่นเป็นต้น เช่น เรื่อง เซนต์เซย่า เมื่ออธีนาได้จุติลงมาเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่อ คิโด ซาโอริ ทำหน้าปกป้องโลกจากเทพองค์อื่น ๆ ที่มีความปรารถนาจะครองโลก ซึ่งเป็นตัวเอกฝ่ายหญิงของการ์ตูนเรื่องนี้ทีเดียว

ที่มา http://th.wikipedia.org

อาร์เทอมิส




อาร์เทอมิส (Artemis)หรือในภาคโรมันคือไดอานา (Diana)คือเทพเจ้าแห่งการล่าสัตว์ เทพีแห่งดวงจันทร์ และเป็นเทพีแห่งความรักทางใจ ตำนานการกำเนิดกล่าวว่าเป็นธิดาฝาแฝดของเทพซุสกับนางอัปสร ลีโต(Leto) หรือ แลโตนา (Latona) มีพี่ชายร่วมอุทรคือ เทพอพอลโลซึ่งเป็นเทพแห่งพระอาทิตย์ และการดนตรี

เทพฝาแฝดทั้งสองถูกปองร้ายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เพราะเทพีเฮราซึ่งเป็นมเหสีเอกของเทพซุสเกลียดชังชายาน้อยของสวามีจึงลามไปถึงบุตรที่เกิดจากอนุเหล่านั้นด้วย เมื่อรู้เรื่องของนางลีโต พระนางจึงสาปแช่งนางลีโตว่าจะไม่สามารถคลอดบุตรบนแผ่นดินใดได้ อีกทั้งยังส่งงูร้าย ไพธอน (Python)ตามฉกกัดนางลีโตตลอดเวลา นางลีโตประสบเคราะห์กรรมอย่างน่าสงสารเพราะไปที่ใดก็ไม่มีใครต้อนรับด้วยกลัวเกรงอาญาของเทพีเฮรา ทั้งต้องหลบหนีงูร้ายจนอยู่ไม่เป็นสุข และเทพซุสก็กลัวเทพีเฮราเกินกว่าจะช่วยเหลือนางลีโตกับบุตรในครรภ์

กระทั่งครบกำหนดครรภ์ นางลีโตเจ็บปวดทุกข์ทรมานปางตายเพราะไม่อาจคลอดบุตรได้ ทำให้เทพโพไซดอนเกิดความสงสาร จึงบันดาลเกาะดีลอส (Delos)ให้โผล่ขึ้นกลางทะเล ไม่ติดต่อกับแผ่นดินใด นางลีโตจึงพ้นคำสาป จนกระทั่งสามารถประสูติเทพฝาแฝด เทพอพอลโล และเทพีอาร์เทอมิส ออกมาอย่างปลอดภัย

ทันทีที่ประสูติออกจากครรภ์ เทพอะพอลโลก็ฆ่างูไพธอนตาย จนได้นามอีกว่า ไพธูส เมื่อเทพทั้งสองประสูติ เทพบิดาซุสจึงอัญเชิญเทพทั้งสองขึ้นเป็นเทพบนเขาโอลิมปัส และคลายความหมางใจระหว่างเทพีเฮรากับเทพฝาแฝดจนเป็นผลสำเร็จ

ที่มา http://th.wikipedia.org

3 กุมภาพันธ์ 2553

อพอลโล




อพอลโล (Apollo ภาษากรีก: Ἀπόλλων อพอลลอน) บุตรชายคนโตของมหาเทพซีอุส เป็นหนึ่งใน 12 เทพแห่งโอลิมปัส เป็นบุตรของซีอุส จอมเทพแห่งสวรรค์และนางเลโต เป็นเทพแห่งแสงสว่าง หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ รวมถึงเป็นเทพแห่งสัจจะและการดนตรีด้วย อพอลโลมีพี่สาวฝาแฝดชื่อ อาร์เทมีส หรือ ไดอาน่า (ในโรมัน) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์คู่กัน อพอลโล เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม มักเล่นดนตรีด้วยพิณ เชี่ยวชาญการใช้ธนู ในสงครามกรุงทรอย อพอลโลมีบทบาทเป็นเทพที่รักษาชายฝั่งเมืองทรอย ที่เมืองเดลฟี่มีเทวสถานบูชาอพอลโลอยู่

นอกจากนี้แล้ว อพอลโลยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น ฟีบัส (Phoebus) อาเบล (Abel) ไพธูส (Pytheus) หรือ เฮลิออส (Helios) ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมายถึง แสงสว่างทั้งสิ้น

ปัจจุบัน อพอลโลเป็นชื่อที่ถูกตั้งตามอยู่บ่อยครั้ง โดยมีความหมายในทางที่เกี่ยวกับแสงสว่างหรือความสำเร็จ เช่น เป็นชื่อปฏิบัติการทางอวกาศของนาซาที่เรียกว่า โครงการอะพอลโล หรือเป็นชื่อสินค้าต่างๆ เช่น ยี่ห้อน้ำมันเครื่อง ยี่ห้อหรือชื่อรุ่นรถยนต์ ชื่อบริษัท เป็นต้น

อพอลโลเป็นเทพที่ถูกปั้นด้วยทองแดงยืนคร่อมอ่าวทะเลอีเจียน ที่เกาะโรดส์ ที่มีชื่อว่า เทวรูปโคโลซัส นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณด้วย โดยทั่วไปรูปปั้นอพอลโลจะถือเครื่องดนตรีคล้ายพิณและมีลูกบอลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์

ที่มา http://th.wikipedia.org

แอรีส




แอรีส (อังกฤษ: Ares, /ɛər iz /) หรือที่ชาวโรมันเรียกว่า มารส์ (Mars) เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม อาวุธ และชุดเกราะ และเป็นหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัสด้วย

แอรีส เป็นเทพแห่งการสงครามเช่นเดียวกับ อธีน่า แต่ทว่าอธีน่าจะได้รับการยกย่องและบูชามากกว่า เนื่องจากอธีน่าเป็นเทพีที่ใช้สติปัญญาวางแผนในการสู้รบมากกว่า ซึ่งได้รับการบูชาในฐานะเทพีแห่งสติปัญญาด้วย ผิดกับแอรีสซึ่งมักจะใช้ความดุดันและโหดร้ายในการสงครามมากกว่า ซึ่งโฮเมอร์ กวีเอกคนสำคัญของกรีกโบราณ ยังเคยเขียนถึงพระองค์ว่า เป็นเทพที่โหดร้ายและหยาบช้า

แอรีสเป็นบุตรของซีอุสมหาเทพและพระนางเฮรา มเหสีของซีอุส แอรีสเป็นเทพที่ชาวกรีกไม่นับถือบูชา เพราะถือว่าเป็นเทพที่โหดร้ายและมีเรื่องราวที่น่าอับอายเกี่ยวกับพระองค์เยอะ และถึงแม้จะเป็นเทพแห่งสงคราม แอรีสก็รบแพ้ในการสงครามหลายต่อหลายครั้ง ทั้งแก่มนุษย์กึ่งเทพเองอย่าง เฮราคลีสและกับอธีน่า เทพีแห่งสงคราม พี่น้องของพระองค์เอง

แต่แอรีสเป็นที่นับถืออย่างมากของชาวโรมัน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่โปรดปรานการสู้รบ ถึงกับแต่งให้แอรีสเป็นบิดาของโรมูลัส (Romulus) ผู้สร้างกรุงโรมเลยทีเดียว

ในทางด้านชู้สาว พระองค์ลักลอบมีชู้กับเทพีอโฟรไดท์จนเป็นเรื่องราวใหญ่โตให้อับอายไปทั้งสวรรค์ และเป็นอพอลโล เทพแห่งดวงอาทิตย์ที่จับผิดและแก้ไขพฤติกรรมของทั้งคู่

แอรีส เมื่อเสด็จไปไหน จะใช้รถศึกเทียมม้าฝีเท้าจัดมากมาย แสงเกราะและแสงศาตราวุธส่องแสงเจิดจ้าบาดตาผู้พบเห็น มีบริวารที่ติดสอยห้อยตามอยู่ 2 คนคือ ดีมอส (Deimos) ซึ่งแปลว่าความกลัว กับ โฟบอส (Phobos) แปลว่าความน่าสยองขวัญ บางตำนานก็กล่าวว่า ทั้งดีมอสและโฟบอสเป็นบุตรชายฝาแฝดของแอรีส และชื่อของทั้งคู่ก็เป็นรากศัพท์ของคำว่า ความตื่นตระหนก (Panic) และ ความกลัว (Phobia) และในทางดาราศาสตร์ แอรีสหรือมารส์ คือดาวอังคาร ดีมอส และ โฟบอส ก็ถูกตั้งเป็นชื่อของดวงจันทร์บริวารของดางอังคารด้วย

ที่มา http://th.wikipedia.org

เฮสเตีย




ในเทพปกรณัมกรีก เฮสเตีย (อังกฤษ: Hestia, /ˈhɛstiə/) หรือที่โรมันเรียก เวสตา (อังกฤษ: Vesta) เป็นหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส บางตำนานเล่าว่าเฮสเตียนั้นได้สละตำแหน่งให้แก่ไดโอนิซัส เป็นลูกคนโตในจำนวน 6 ของโครนอสกับรีอา ได้รับมอบหน้าที่จากซูส ให้เป็นเทพีแห่งเตาไฟ และยังเป็นเทพีผู้คุ้มครองบ้านเรือน เนื่องจากเป็นคนแรกที่สร้างบ้านขึ้นมา

เทพีเฮสเตียมีความสำคัญมากเปรียบดั่งเทพีผู้คุ้มครองทั้งบ้านเรือนรวมไปจนถึงคนในบ้าน และยังเป็นเทพีผู้คุ้มครองเด็กเกิดใหม่อีกด้วย ในธรรมเนียมกรีกโบราณ เมื่อใดในบ้านมีเด็กเกิดใหม่ ก็จะนำเด็กไปวนรอบเตาไฟ ซึ่งตั้งอยู่กลางบ้าน เพื่อให้เฮสเตียรับรู้และคุ้มครองเด็กจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆเหมือนเป็นการรับขวัญ เฮสเตียเป็นเทพีที่ไม่มีวิหารบูชา แต่ถือว่าเตาไฟทั้งหลายนั้นเป็นเหมือนแท่นบูชาของนาง

เทพีเฮสเตีย มักใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบอยู่ในที่พัก และไม่นิยมการสังสรรค์ ทำให้มีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพีเฮสเตีย ในเทพปกรณัมกรีกน้อยมาก

เฮสเตียเป็น 1 ใน 3 เทพีผู้ครองพรหมจรรย์ ถึงแม้จะถูกเกี้ยวพาราณสี จากเทพอพอลโล และโพไซดอน

ที่มา http://th.wikipedia.org

ฮีรา




ฮีรา หรือ เฮรา (อังกฤษ: Hera, /hɪər ə หรือ hɛr ə/ ) เป็นมเหสีและเชษฐภคินี (พี่สาว) ของซูส พระนางเป็นเทพีแห่งหญิงสาวและชีวิตสมรส เป็นผู้ปกป้องสตรีที่แต่งงานแล้ว พระนางทรงประทับบนพระบัลลังก์ทองคำเคียงข้างซูสบนภูเขาโอลิมปัส และทรงพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ใส่พระทัยกับเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมของสวามี ฮีราได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเทพธิดาผู้มีพระกรใสกระจ่างดุจงาช้าง ในตำนานโบราณสัตว์ประจำองค์ของเทพีฮีราคือวัว แต่ในตำนานยุคใหม่นกยูงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำพระองค์ และจะตามเสด็จอยู่ไม่ห่าง

เทพีฮีราเป็นที่รู้จักกันดีในด้านของอารมณ์ดุร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชายาองค์อื่นๆของซูส และบุตรที่เกิดจากชายาเหล่านั้น ไม่ว่าพวกนางจะเป็นเทพีหรือเป็นมนุษย์ก็ตาม ตัวอย่างของผู้ที่ถูกเทพีฮีราปองร้ายมีมากมาย เช่น เทพีลีโต มารดาของเทพอพอลโล่และเทพีอาร์ทีมิส เฮอร์คิวลิส ไอโอ ลามิอา เกรานา ซิมิลี มารดาของเทพไดโอนิซัส ยูโรปา เป็นต้น

ในมหากาพย์อีเลียด ของ โฮเมอร์ ได้กล่าวถึงพระนางว่า เทพีตาวัว (the ox-eyed goddess) ซึ่งแสดงถึงสัตว์ประจำตัวของฮีรานั่นเอง

ที่มา http://th.wikipedia.org

โพไซดอน




โพไซดอน หรือ โพเซดอน หรือ โปเซดอน (อังกฤษ: Poseidon; กรีก: Ποσειδών; ละติน: Neptūnus เนปจูน) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร ผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีตรีศูลเป็นอาวุธ บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าด้วย

ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครนัสกับรีอา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 5 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมเปียนทั้งสิ้น ได้แก่

เฮสเทีย เทพีแห่งเตาผิง ผู้ดูแลครัวเรือน
ดีมิเตอร์ เทพีแห่งธัญพืชและการเกษตร
เฮรา ชายาแห่งเทพซูส เทพีผู้คุ้มครองสตรีและการสมรส
ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก
ซูส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส
รูปลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่นกัน

โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่งคือแอมฟิไทรท์ ซึ่งเป็นนีริอิด หรือบุตรสาวของ นีริอัสและดอริส โพไซดอนเห็นนางเต้นรำร่วมกับเหล่านีริอิดอื่นๆ จึงลักพาตัวนางไปเป็นชายาในดินแดนใต้สมุทร

ชายาอีกองค์หนึ่งของโพไซดอนเป็นหญิงรับใช้ของอะธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า เมื่ออะธีนาทราบเรื่องจึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเปอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพเซดอนด้วย

โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล

ในวัฒนธรรมร่วมสมัยมีการอ้างอิงถึงโพเซดอนมากมาย เช่น การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง เซนต์เซย่า ได้ให้โพเซดอนเป็นตัวละครตัวเอกใน ภาคศึกเจ้าสมุทรโปเซดอน ซึ่งเป็นภาคที่ 2 ของการ์ตูนชุดนี้ หรือแม้แต่กระทั่งตั้งเป็นชื่อของอาบอบนวดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ถนนรัชดาภิเษก เป็นต้น

ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพเซดอนอยู่

ที่มา http://th.wikipedia.org

ซูส



เทพซูส (อังกฤษ: Zeus, /zus/) เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และเทพแห่งท้องฟ้าและฟ้าร้องของตำนานเทพปกรณัมกรีก สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือสายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก นามของซีอุสแปลว่าความสว่างของท้องฟ้า

นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือเทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคนคือเทพไทเนีย (Tinia)

พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของโครนัส (Cronus) และรีอา (Rhea) ซึ่งเป็นเทพไททัน ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซูสแท้จริงแล้วคือเทพีไดโอนี (Dione) นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่าเทพซูสเป็นพระบิดาของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซูสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนามแกนีมีด (Ganymede) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอไนซัส (Dionysus) วีรบุรุษเพอร์ซีอุส (Perseus) วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Helen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสายที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรงได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟเฟสตุส (Hephaestus) เทพีเอริส (Eris) และ เทพีไอไลธีเอีย (Eileithyia)

ที่มา http://th.wikipedia.org